เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (2)

17/3/2010

07.30 น.

ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งจากการปลุกของผู้ร่วมเดินทางที่ตื่นมาอาบน้ำอาบท่ารออยู่ก่อนแล้ว เจ้าของที่พักเตรียมข้าวต้มร้อนๆต้อนรับแสงแรกแห่งความสุขภายใต้เกาะสมุยแห่งนี้ให้กับพวกเราอย่างเต็มใจ ผมรับประทานอย่างทำเวลาเพราะวันนี้เรามีนัดขึ้นเรือไปหมู่เกาะอ่างทองซึ่งไม่ได้มีเพียงแต่เราเท่านั้น ผู้ร่วมเดินทางอีกเกือบ 50 คนอาจจะกำลังรอผมอยู่และผมคงไม่สามารถจะทนสายตาที่จะส่งมาเตือนเรื่องมารยาทอย่างดุดันถ้าผมเป็นผู้ร่วมเดินทางคนสุดท้ายที่เดินทางไปถึงเรือ แต่จนกระทั่งตอนนี้ผมยังคิดว่าผมทำเวลาได้ดีอยู่ทีเดียวนะ

08.30 น.

ผมกำลังอยู่ในเรือที่จะนำพวกเรามุ่งหน้าไปที่หมู่เกาะอ่างทอง ในคราแรกเรานั่งกันอยู่ด้านล่างของเรือที่ค่อนข้างจะอึดอัด แต่ความเมาเรือที่คืบคลานเข้ามาหาเราพร้อมกับคลื่นลมในท้องทะเลที่เรากำลังเผชิญนั่นทำให้เราจำเป็นต้องหาที่นั่งที่ผ่อนคลายกว่านี้เพื่อที่จะไปให้ถึงปลายทางโดยที่ไม่ต้องนำข้าวต้มที่กินเมื่อเช้าสำรอกออกมาสู่ท้องทะเลอีกครั้ง และแล้วการแสวงหาก็มักจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับเราเสมอ ผมได้รับการเชิญชวนจากกัปตันเรือผู้ใจดีให้นั่งอยู่ตรงด้านหน้าเรือใกล้ๆกับเขา และสายลมแห่งท้องทะเลใต้ก็ช่วยผมไว้จากการเมาเรือได้มากทีเดียว ขณะนี้เบื้องหน้าของผมมีเพียงแต่ทะเล และท้องฟ้าเท่านั้น สิ่งมีชีวิตจำพวกนกและปลาก็เสนอตัวออกมาให้ผมชื่นชมบ้างตามความเหมาะสม ผมหลับตาและใช้เพียงหูสัมผัสกับเสียงคลื่นพร้อมทั้งเตือนตัวเองให้จดจำช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ เผื่อว่ากลับเมืองหลวงไปแล้วพบเจอกับปัญหาที่คอยทำร้าย พลังจากเส้นขอบฟ้านี้จะได้คอยช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้กับผมเพื่อที่จะลุกขึ้นไปสู้กับปัญหาอีกครั้ง คุณเคยได้ยินกันหรือเปล่าว่าเราจะรู้ถึงสภาวะของการเดินทางบนเรือด้วยการมองจากอะไร อารมณ์ของกัปตันนั่นเป็นคำตอบ และด้วยการขับเรือไปยิ้มไปอย่างที่เราเห็น นั่นเป็นสัญญาณดีอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบเท่า ผมไม่เสียโอกาสในการนั่งใกล้กัปตันด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเขาอย่างเต็มที่ตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็มที่นั่งเรือ นอกจากกัปตันที่ใช้สำเนียงทองแดงคุยกับเราอย่างออกรสแล้ว ไกด์หนุ่มพื้นเมืองยังโชว์ภาษาอังกฤษในชนิดที่ฝรั่งยังชมว่าคล้ายกับคนนิวยอร์กที่พวกเค้าเคยสนทนากันมา ผมมองหน้ากับเพื่อนร่วมทางอีกครั้ง เราสองคนคิดคล้ายกันว่า แม้แต่นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อในกรุงเทพ ยังไม่น่าจะมีสำเนียงที่ดีเท่านี้เลย หรือว่าการศึกษาบ้านเรายังคงมาไม่ถูกทางกันนะ

10.40 น.

กัปตันพาพวกเรามาถึงเป้าหมายแรกของการเดินทางในวันนี้ “ทะเลใน” คือชื่อที่คนพื้นบ้านใช้เรียกสถานที่ที่ผมกำลังเหยียบย่ำ สถานที่ที่ธรรมชาติแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำและทุกสิ่งที่พวกเขาทำอาจจะทำให้มนุษย์ตัวน้อยอย่างเราๆต้องก้มหน้ามาถามตัวเองอีกครั้งว่าอะไรกันแน่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกแสนกลมใบนี้ ธรรมชาติบรรจงซ่อนทะเลไว้ภายในหุบเขาที่ปิดตัวเองอย่างแนบเนียนจนกระทั่งพวกเราไม่สามารถมองเห็น “ทะเลใน” แห่งนี้จากภายนอกได้ ทางเดียวที่พวกเราจะได้ชมก็คือจะต้องเดินข้ามเขาด้วยระยะทาง 150 เมตร และด้วยบันไดที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางรอนแรมมาเพื่อที่จะสัมผัสความงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นแห่งนี้ นั่นทำให้เพียงแค่ชั่วอึดใจเราก็พาตัวเองขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของภูเขาซึ่งจะทำให้เราสามารถมองเห็นทะเลที่ซุกตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของขุนเขาได้อย่างถนัดตา และภาพที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ผมคงไม่บังอาจจะใช้ตัวหนังสือใดๆบรรยายถึงความสวยงามที่พวกเราไปพบเห็นมาได้อย่างชัดเจน การเดินทางไปชมด้วยสายตาของตัวท่านเองเท่านั้นคือสิ่งที่ผมควรจะแนะนำในหน้ากระดาษนี้

11.40 น.

หนึ่งชั่วโมงที่ผู้นำทางมอบให้กับพวกเราในการชมธรรมชาติแห่งนี้กำลังสิ้นสุดลง เราเดินทางด้วยเรือหางยาวอีกครั้งเพื่อกลับไปสู่เรือใหญ่ที่พาเรามาจากเกาะสมุย และ ณ เรือใหญ่ลำนี้ อาหารกลางวันมื้อแรกของเกาะสมุยกำลังรอเราอยู่ ไก่ทอด แกงมัสมั่น ผัดเปรี้ยวหวาน แตงโม สับปะรด คือสิ่งที่พวกเราใช้สำหรับบำบัดความหิวในมื้อแรกกลางท้องทะเลสมุย แต่ด้วยความที่เราต้องรับประทานข้าวไปพร้อมๆกับคลื่น นั่นทำให้ทั้งความอิ่มและความเมามาสัมผัสเราสองคนพร้อมๆกัน ที่นั่งด้านหน้าเรือใกล้ๆกับกัปตันคือสิ่งที่พวกเราสองคนต้องการที่สุดในขณะนี้ และนอกจากเหตุผลเบื้องต้นนี้แล้ว เส้นขอบฟ้ายังเป็นอีกสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในที่นั่งตรงจุดนี้ด้วย

12.30 น.

เรือเดินทางมาถึงเป้าหมายที่สองของวันนี้ เกาะวัวตาหลับคือชื่อของสถานที่แห่งนั้น เราสอบถามความเป็นมาของชื่อเกาะจากกัปตันที่เราผูกสัมพันธ์มาตั้งแต่ช่วงเช้า เขาบอกเราด้วยรอยยิ้มว่ามันมีอยู่มุมมองหนึ่งที่จะเห็นภูเขาทั้งลูกคล้ายกับวัวที่กำลังหลับใหล เราหันไปมองที่ภูเขาทันทีที่ได้ยินข้อมูล และแล้วภาพของเจ้าวัวที่เอาคางเกยพื้นนอนหลับใหลก็ลอยอยู่ตรงหน้าของเราในทันที ผมสอบถามกัปตันอีกครั้งว่าด้านบนเขามีอะไรให้เราสัมผัสบ้าง เขาบอกเราว่าบนนี้มีจุดชมวิวที่สูงและสวยที่สุดในหมู่เกาะอ่างทอง และมีเพียงจุดนี้จุดเดียวเท่านั้นที่จะเห็นหมู่เกาะอ่างทองอย่างทั่วถึงในทุกๆเกาะ แต่สิ่งที่ต้องแลกกับมุมมองที่ว่าก็คือระยะทาง 500 เมตรในการเดินขึ้นเขาในแบบเส้นทางธรรมชาติ ผมถามเขาอีกครั้งว่าแล้วมันแตกต่างกับภูเขาอื่นอย่างไร เพราะเราก็พอจะเดาออกอยู่แล้วว่าวิวข้างบนจะเป็นอย่างไร และสิ่งที่ผมได้ยินจากกัปตันก็ยังคงติดตรึงอยู่ในใจผมจนกระทั่งวินาทีที่เดินทางกลับ เขาบอกผมว่ามีเพียงจุดนี้เท่านั้นที่จะเห็นทั่วทั้งหมู่เกาะอ่างทอง ถ้าเราไปขึ้นเขาที่หมู่เกาะสุรินทร์ เราก็จะไม่เห็นหมู่เกาะอ่างทอง หรือไม่ว่าเราจะขึ้นภูเขาไหนในประเทศนี้ เราก็จะไม่เห็นหมู่เกาะอ่างทอง ผมยิ้มให้กับคำตอบของเขาอีกครั้ง พร้อมกับลำพึงในใจ “แม่งกวนตีน”
สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ขึ้นไปชมวิวที่ยอดเขาวัวตาหลับ ไม่ใช่เหตุผลในเรื่องระยะทางการเดินแต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สร้างความผิดหวังให้กับเราเล็กน้อย คลื่นลมในทะเลวันนี้ดูจะไม่อยากผูกสัมพันธ์กับเราเท่าไร นั่นทำให้เราไม่สามารถจะเอาเรือเล็กเทียบเข้าไปที่เจ้าวัวตาหลับตัวนี้ได้อย่างที่ทำกันทุกๆวัน ทีมงานผู้ดูแลเรือต่างลงความเห็นกันว่าจะเข้าไปที่ชายหาดอีกด้านของภูเขาซึ่งมีน้ำที่ใสและสามารถจะดำน้ำ เล่นน้ำกันได้ตามอัธยาศัย แต่จะไม่มีกิจกรรมอื่นๆให้ทำแต่อย่างใด ผมและเพื่อนร่วมทางไม่ได้ปรารถนาจะเล่นน้ำแต่การได้ไปนอนกินลม ชมทะเล แถมได้ดูบิกินี่ตระการตาที่ริมชายหาดมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่ควรจะต้องเสียใจแต่อย่างใด และแล้วการระดมถ่ายรูปและละเลียดความสุขริมทะเลของพวกเราจึงเริ่มขึ้น เริ่มขึ้นโดยที่ไม่เคยอยากจะให้มันจบลง

15.00 น.

ไกด์หนุ่มเรียกเราเป็นภาษาไทยให้เตรียมตัวเดินทางกลับเพื่อที่จะไม่ให้ถึงฝั่งเย็นเกินไป เราบอกลาเจ้าวัวตาหลับพร้อมทั้งรีบขึ้นเรือเล็กเพื่อไปยึดที่นั่งเคียงข้างกัปตันอีกครั้งบนเรือใหญ่ และเราก็ทำสำเร็จอีกเช่นเคย ท้องทะเลและฟ้าสีครามยังคงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเราในการเดินทางกลับเกาะสมุยครั้งนี้ ผมเตือนสติตัวเองอีกครั้งให้รู้ว่าผมกำลังอยู่กับทะเล ทะเลที่ร่างกายของผมต้องการมาตลอดเวลา และวันนี้ผมกำลังอยู่ที่นี่ ที่ทะเล ที่เกาะสมุย

17.30 น.

เราเดินทางกลับมาถึงเกาะสมุยอย่างปลอดภัยแต่ก็พ่วงความเมาคลื่นมาด้วยเล็กน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ชายหนุ่มเจ้าของรถนิสสันคันเดิมจอดรอเราอยู่อย่างเด่นชัดเมื่อเราลงจากเรือ จากเจ้าของที่พักมาจนกระทั่งเป็นเจ้าของรถนิสสัน หลังจากที่เรารู้ว่าเขามารอรับเราไปแล้วเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา แต่เมื่อเรือยังกลับมาไม่ถึงเขาจึงหาอะไรทำไปพลางกลับมารับเราอีกทีในหนึ่งชั่วโมงถัดมา ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ทำให้เราตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสรรพนามให้กับเขาโดยใช้คำสั้นๆเรียกขานกัน “พี่” คือคำๆนั้น เราสนทนากันในรถเพื่อเพิ่มความสนิทสนมพร้อมทั้งตกลงกันว่าเย็นนี้เราจะได้รับเกียรติให้ชิมฝีมือการทำอาหารของ “แม่” ที่ใครก็ตามที่มาพักที่นี่ต่างเคยได้ชิมและไม่เคยมีใครผิดหวัง แต่ก่อนที่เราจะรับประทานมื้อเย็นกันนั้น ชายหาดหน้าที่พักยังคงรอให้เราไปทักทายอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้ามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเราจะมาพบมันอย่างง่ายๆที่ชายหาดหน้าที่พักแห่งนี้ พระอาทิตย์ดวงกลมสลัดเสื้อสีแดงที่ใส่ในช่วงกลางวันผลัดมาเป็นเสื้อสีชมพูตัวสบายดูผ่อนคลายกว่าช่วงกลางวันยิ่งนัก แม้ขนาดจะไม่ใหญ่โตแต่พระอาทิตย์ดวงเล็กๆสีชมพูก็อวดแสงสวยไปทั่วท้องฟ้าจนเราไม่สามารถจะละสายตาจากผืนฟ้าตรงหน้านี้ได้แม้สักวินาที แสงอาทิตย์เล็ดรอดออกมาตามไรเมฆส่งให้เกิดสีส้ม ม่วง ฟ้า ละเลงไปทั่วแผ่นฟ้าตรงหน้าผมราวกับจิตรกรเอกของโลกมาแอบซ่อนผลงานชิ้น Masterpiece ของเขาไว้ที่นี่ การตวัดพู่กันแต่ละครั้งของจิตรกรเอกที่ชื่อว่าธรรมชาติ ส่งให้เกิดลายเส้นสีมหัศจรรย์ทั่วท้องฟ้าต่อหน้าผมในขณะนี้ ผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพนี้ไว้ทั้งในความทรงจำและในเจ้ากล้องตัวจิ๋วที่เตรียมมา พวกเรายืนนิ่งชมบรรยากาศรวมทั้งส่งพระอาทิตย์สีชมพูดวงน้อยดำดิ่งลงแตะเส้นขอบฟ้าจากนั้นจึงดำมุดลงในท้องทะเลเรากับว่าจะให้สายน้ำช่วยดับความร้อนในตัวมันที่ส่องประกายมาอย่างยาวนานนับล้านปี

18.45 น.

หลังจากล่ำลากับพระอาทิตย์ดวงน้อยสีชมพู เราตัดสินใจเดินทางกลับที่พักเพื่ออาบน้ำชำระไอทะเลที่ลอยตามลมมาจับตัวเราสองคนจนเหนียวเหนอะไปตามๆกัน และเมื่อเราจัดการกับร่างกายของเราเสร็จเมื่อไร อาหารมื้อเย็นแห่งความอบอุ่นก็พร้อมที่จะเปิดเผยตัวเองออกมา ทันทีที่เราพร้อมจะไปพบกับมัน

19.30 น.

ต้มปลาหมึกสมุนไพร ใบเหลียงผัดไข่ คั่วกลิ้ง แกงไตปลา คือสี่สหายที่เราได้พบเจอในเย็นวันที่สองบนเกาะสมุยแห่งนี้ อาหารมื้อนี้เป็นฝีมือของผู้หญิงที่ “พี่” เรียกเขาว่า “แม่” และพวกเราจึงขอถือวิสาสะเรียก “แม่” ด้วยเช่นกัน และความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งหมดก็ดำเนินไปผ่านเหล่าบรรดาอาหารที่เป็นดังสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของเราสองคนกับอีกครอบครัวหนึ่ง พี่เล่าให้เราฟังว่าเขากำลังมีความสุขกับการเป็นพ่อคนที่เพิ่งเริ่มต้นมาได้ 3 เดือนเศษๆ เด็กน้อยที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของเขาลืมตาดูโลกมาได้สักระยะและในขณะนี้ความห่วงหาทั้งหมดของชีวิตของเขามีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว เราสามคนคุยกับสัพเพเหระและใช้เวลาแนบความสัมพันธ์ให้แน่นขึ้นราวเกือบ 3 ชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรแล้วจึงตัดสินใจแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยในการโต้คลื่นมาทั้งวัน เราสองคนส่งยิ้มให้กับ “พี่” พร้อมทั้งขอตัวไปนอนโดยที่ไม่คิดว่าจะได้พบกับเหตุการณ์ที่เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเราสองคน

22.30 น.

เราสองคนช่วยกันหากระเป๋าสะพายเล็กๆที่นำมาด้วยกันอยู่สักพักก็พบว่ามันไม่ได้อยู่ในห้องพักของเราอีกแล้ว หลังจากเราเริ่มสงสัยในอะไรบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเราจึงมองหากระเป๋าเงินและโทรศัพท์บนโต๊ะที่เราวางไว้ในห้องพัก ก่อนที่เราจะได้ทราบความจริงที่หนักหน่วงอีกครั้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในที่ที่มันเคยอยู่อีกแล้ว เราเปิดม่านที่บังหน้าต่างริมกำแพงฝั่งที่โต๊ะซึ่งเราวางของทุกอย่างไว้ตั้งอยู่ และเมื่อนั้นภาพที่เป็นดังสัญญาณแห่งความจริงที่เราจำเป็นต้องยอมรับก็เผยออกมาให้เราได้เห็นกับตา เราชะงักไปสักครู่พร้อมกับตั้งสติเพื่อยอมรับกับความจริงที่เราไม่เคยพบเจอและเมื่อสติเรากลับคืนมาอีกครั้ง เราจึงได้รู้ว่าขณะนี้ห้องเราถูกงัด และมันก็เป็นความจริงที่เราไม่อาจจะหนีพ้น บริเวณหน้าต่างมีหินก้อนเหมาะมือก้อนหนึ่งวางขัดไว้เพื่อให้หน้าต่างเปิดกว้างพอที่จะเอามือสอดเข้ามาทำเรื่องเลวร้ายได้พอดิบพอดี และตรงนั้นเราเห็นกระเป๋าเงิน กระเป๋าสะพายเล็กๆสองใบ กองรวมกันอยู่ และอย่างที่เราเตรียมใจไว้ ข้างในนั้นไม่มีอะไรอยู่อีกแล้ว เงินจำนวนหนึ่งกับโทรศัพท์มือถือสองเครื่องอันตรธารหายไปตรงหน้าและเหมือนทุกอย่างรอบกายกำลังจะบอกเราว่าบรรยากาศรอบกายของเราไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นปกติได้อีกแล้ว เราตัดสินใจบอก “พี่” และแจ้งตำรวจเพื่อให้มาตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่ทำหน้าราวกับว่าโลกแห่งความสวยงามของเขากำลังจะถล่มลงไปตรงหน้า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถึงแม้เค้าจะไม่ได้เป็นฝ่ายที่เสียทรัพย์สินไป แต่ในด้านของความรู้สึกแล้ว ผมรับรู้จากการแสดงออกทางใบหน้าของเขาได้ว่า เขาน่าจะเสียมันไปเท่าๆกับเราหรือไม่ก็มากกว่าเราอย่างที่ประเมินไม่ได้ เราทราบจากพี่ว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีมาแล้วและไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งพวกเรามาพานพบ เรายืนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและไม่เพียงแค่เราสามคนเท่านั้น พ่อและแม่ ของพี่ ก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และตำรวจที่เดินทางมาตรวจสอบก็ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิษฐานไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่พวกเรารู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังส่งสัญญาณบอกกับเราว่า ให้ทำใจเสียกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะหนทางที่จะจับตัวคนผิดมันช่างยากเย็นยิ่งนัก ส่วนเรื่องที่จะได้ของกลับคืนมามันน่าจะยากเย็นยิ่งกว่า

00.30 น.

หลังจากกลับมาจากการแจ้งความ เราย้ายมาพักในห้องพักใหม่ข้างๆห้องเดิม “แม่” พยายามบอกกับเราให้เราไปนอนที่บ้าน แต่เราก็ปฏิเสธไปด้วยเกรงว่าจะสร้างความลำบากให้กับแม่ไปเสียเปล่าๆ “พี่”ตัดสินใจนอนในห้องที่ถูกงัดเองราวกับว่าอยากจะคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และพวกเราก็ไม่มีใครจะไปทักท้วงตรงจุดนั้น
ค่ำคืนที่สองได้เปลี่ยนความรู้สึกของเราไปอย่างที่เราไม่เคยต้องการ และการพักผ่อนในคืนนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเลยสักครั้งสำหรับผม พวกเราพยายามอ้อนวอนต่อสิ่งที่มองไม่เห็นให้ช่วยทำให้เหตุการณ์นี้จบลงด้วยดี แต่ลึกๆแล้วเราก็รู้ว่าท่านไม่เคยลงมาช่วยจัดการเหตุการณ์จำพวกนี้อยู่แล้วและไม่มีใครที่จะจัดการกับเหตุการณ์นี้ได้ดีกว่าพวกเราเอง

Views: 72

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service