เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (3)

08.00 น.

พระอาทิตย์ยามเช้าของเกาะสมุยพยายามส่งเส้นแสงรอดช่องว่างของผ้าม่านสีขาวสวยเพื่อทะลุมาปลุกเราสองคนให้ตื่นจากภวังค์ เราน้อมรับความต้องการเหล่านั้นและตั้งสติตื่นมารับกับความจริงอีกครั้ง ผมพยายามทบทวนและอยากจะเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝันและเมื่อเราตื่นขึ้นมาเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงสวยงามเหมือนเดิมแต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอย่างไม่เคยที่จะต้องเคลือบแคลงสงสัย และพวกเราคงทำได้เพียงแค่ยอมรับเท่านั้นไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
เช้านี้ตำรวจนัดพวกเราไว้ว่าจะเข้ามาตรวจสอบสถานที่รวมทั้งซักถามรายละเอียดอีกครั้งและเช้านี้ก็เป็นเช้าที่เราตั้งใจว่าจะ Check out ออกจากที่นี่เพื่อเตรียมเข้าพักรีสอร์ทอีกที่หนึ่งที่เราวางแผนกันไว้ และเมื่อเวลาแห่งการลาจากคลืบคลานเข้ามา ก้อนอะไรบางอย่างในตัวพวกเราก็มาจุกอยู่ตรงอกราวกับว่ามันไม่อยากให้พวกเราจากที่นี่ไปแม้ว่าเราจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายเท่าใดก็ตาม

09.00 น.

ข้าวเช้ามื้อนี้เราไม่ได้กินอย่างลูกค้าที่มาพักอีกแล้ว เราเปลี่ยนสถานะด้วยความเต็มใจจากทุกฝ่ายให้เข้ามานั่งกินข้าวที่บ้านของพี่ และวันนี้เรากำลังจะมี พ่อ แม่ พี่ เพิ่มขึ้น ติดตัวกลับกรุงเทพไปด้วยอย่างไม่ตั้งใจ บรรยากาศการกินเต็มไปด้วยการปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างพยายามต่อสู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสามารถของจิตใจในแต่ละคน แต่แล้วความรักความเอาใจใส่ที่เรามอบให้แก่กันก็เป็นอาวุธสำคัญที่เราใช้ต่อสู้กับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านเข้ามาได้อย่างดีทีเดียว กับข้าวมื้อเช้ามื้อนี้อร่อยอย่างที่สุดเท่าที่เราได้ทานบนเกาะสมุยแห่งนี้

10.30 น.

จนเลยเวลานัดหมาย เสียงโทรศัพท์จากตำรวจก็ไม่เคยดังขึ้นแต่อย่างใด เราตัดสินใจที่จะทำตามแผนที่เราวางไว้เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะรอโดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเสร็จสิ้น และเมื่อเราตัดสินใจอย่างนั้น พี่ก็จึงรับอาสาที่จะขับเจ้านิสสันน้อยพาเรามาส่งในที่พักแห่งใหม่ที่เราได้จับจองไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่
เราใช้เวลาล่ำลา พ่อกับแม่อยู่สักพัก แม้ว่านาฬิกาจะเดินไปเพียงไม่กี่นาทีแต่เราสองคนรู้สึกได้ว่าช่วงเวลาแห่งการล่ำลามันช่างยาวนานและอ้อยอิ่งเรากับว่าไม่มีใครอยากให้มันจบลง ทั้งคำพูด อ้อมกอดและการสัมผัสมือถูกนำมาใช้ในช่วงเวลาแห่งความทรงจำนี้อย่างครบครัน เราแลกเบอร์กับพ่อและแม่ไว้ และสัญญากันอย่างเป็นมั่นเหมาะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นครั้งเดียวในความทรงจำและ “เราจะได้ไม่ลืมกัน” ไปตลอดกาล

11.30 น.

เราเดินทางมาถึงรีสอร์ทหรูอีกที่หนึ่งที่เราได้ทำการจับจองไว้ และเมื่อเราลงจากรถและก้าวเดินเข้าไปในโถงรับแขก ภาพของน้ำทะเลตรงหน้าที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากพระอาทิตย์เปลี่ยนให้มันเป็นดังเพชรนิลจินดาที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่พร่างพราวเต็มท้องทะเลนั่นก็ทำให้เราแทบจะลืมทุกอย่างในค่ำคืนที่แล้วไปอย่างสนิทใจ เราชวนพี่เข้าไปชมห้องพักกันด้วยเพราะว่าเราค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะสวยถูกใจอย่างมากทีเดียวและเมื่อเราได้เห็นห้องพักจริงๆ สิ่งที่เราคิดไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปแต่อย่างใด แต่แล้วเมื่อเวลาแห่งการล่ำลามาถึงอีกครั้ง พี่ก็ยื่นซองมาให้กับพวกเราพร้อมทั้งบอกว่าขอคืนค่าที่พักทั้งหมดให้กับเราเพื่อจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย เรามองหน้ากันอย่างคนที่เข้าใจ ช่วงเวลานี้ไม่ว่าเราจะเถียงสักเท่าไรก็คงไม่สามารถจะยัดเยียดซองนี้คืนไปสู่มือพี่ได้เป็นแน่แท้ เราบอกความรู้สึกของเราเช่นกันว่าไม่ได้รู้สึกดีแต่อย่างใดที่ได้รับค่าที่พักคืนเช่นนี้แต่เราก็น้อมรับน้ำใจของพี่ไว้ด้วยความเต็มใจ และวางแผนอย่างแยบยลที่จะคืนน้ำใจนี้กลับไปให้สมกับที่พี่หยิบยื่นมันมาให้เรา

14.30 น.

สามชั่วโมงผ่านไปที่เราใช้เวลาพักผ่อนชมวิวทะเลในห้องพักอย่างเต็มอารมณ์ เราไม่ได้พักห้องเดิมที่จองไว้ตั้งแต่แรกเพราะไม่ชอบใจอะไรบางอย่างในห้องพัก และด้วยการตกลงกันอย่างเต็มใจนั่นทำให้เราย้ายมาพักในห้องที่ดีที่สุดของรีสอร์ทด้วยราคาที่เป็นกันเองอย่างที่หาที่ไหนไม่ได้ เราแปลกใจเหมือนกันที่เรามักจะพบเรื่องราวดีๆจากเพื่อนมนุษย์อยู่เสมอในการเดินทางแต่ละครั้ง และในครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด

14.45 น.

เราเริ่มออกมาใช้ชีวิตเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปด้วยการออกเดินทางด้วยรถที่เราเช่าไว้ ขับตระเวนไปเที่ยวตามสถานที่ที่คนท้องถิ่นแนะนำให้เราไปเยือนเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเสียเที่ยวที่ได้มาเกาะสมุย และสถานที่แรกที่เราตัดสินใจว่าจะไปก็คือก้อนหินธรรมดาสองก้อนที่ว่ากันว่าดังที่สุดในเกาะสมุยแห่งนี้ หินตา หินยายนั่นเอง
ไม่ว่าคนที่เคยมาหรือไม่เคยมาเกาะสมุย ต่างก็น่าจะเคยเห็นภาพของหินสองก้อนนี้มาบ้าง ตามโปสการ์ดหรือหนังสือรวมทั้งเว็บไซต์นำเที่ยวต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ภาพที่เห็นก็จะเป็นภาพของหินตาเสียเป็นส่วนมากเพราะหินยายนั้นมีลักษณะทางกายภาพที่ยากต่อการที่จะจับภาพมาให้สวยงามในลักษณะเดียวกันกับหินตา และเมื่อพวกเรามาถึงสถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของหินทั้งสองก้อนแล้ว เราเองก็ยังสังเกตเห็นเพียงแค่หินตาเพียงก้อนเดียว ส่วนหินที่ลักษณะคล้ายหินยายนั้นกลับมีอยู่เต็มชายหาดบริเวณนั้นไปเสียทั้งหมด เราตัดสินใจใช้ความสามารถส่วนตัวก่อนในขั้นแรกด้วยการเดินตามหาหินยายด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่สามารถที่จะมั่นใจได้สักทีว่าหินก้อนไหนคือหินยายที่แท้จริงกันแน่ ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเด็กหนุ่มสาวที่กำลังนั่งคุยกันอยู่บริเวณนั้น เด็กหนุ่มสาวที่ผมคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนเกาะสมุยแห่งนี้ แต่แล้วคำตอบของเค้าก็คือการส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าหินยายนั้นวางตัวอยู่ตรงไหน ผมยิ้มให้กับเขาพร้อมทั้งภาวนาขอให้เด็กทั้งสองไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ใช่คนที่เกาะสมุยแห่งนี้ มิฉะนั้นแล้วตำนานแห่งหินตาหินยายคงสูญสลายไปไม่วันใดก็วันหนึ่งเป็นแน่แท้
สุดท้ายผมจึงตัดสินใจพึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่งสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้น เมื่อเราบอกความจำนงให้เขาทราบว่าต้องการที่จะมาพบกับหินยายก้อนที่เป็นตำนานที่แท้จริง เขาพาเราไปดูถึงที่พร้อมทั้งเล่าตำนานที่มาของหินทั้งสองก้อนให้ฟัง ผมจับใจความได้ถึงพ่อแก่แม่เฒ่าคู่หนึ่งซึ่งก็คือตาเครงกับยายเรียม ตายายทั้งสองล่องเรือมาตามเส้นทางนี้เพื่อมาขอลูกสะใภ้ให้กับลูกชายของตัวเอง แต่แล้วลมทะเลซึ่งไม่เคยไว้ใจได้ก็ก่อเหตุให้เรือที่ใช้โดยสารมานั้นต้องจมลงอยู่ใต้ทะเลไปตลอดกาล และหินสองก้อนนี้ก็เป็นดังคำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของสองตายายที่อยากจะให้ครอบครัวของหญิงสาวได้รู้ว่าครอบครัวของเขาทั้งสองไม่ได้ผิดนัดในการที่จะยกขันหมากไปในวันนั้น แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยจริงๆจึงทำให้เขาทั้งสองทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ และนั่นจึงเป็นที่มาของสองอวัยวะที่ตั้งตระหง่านโชว์ฝรั่งมังค่ามานานนับร้อยปี
กาละแมร์ 5.5 กิโลกรัมคือสิ่งที่เราติดไม้ติดมือมาจากร้านขายของบริเวณหินตาหินยายด้วย มันเป็นของฝากชิ้นเดียวที่พอจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเดินทางกลับมาจากเกาะสมุย และหลังจากหินตา หินยายแล้ว สถานที่ต่อไปที่เราจะไปก็คือวัดคุณาราม สถานที่ซึ่งเป็นที่เก็บร่างไร้วิญญาณซึ่งไม่เน่าไม่เปื่อยของหลวงพ่อแดงเอาไว้ หลวงพ่อแดง ปิยะสีโล (ท่านพระครูสมฤกิตติคุณ) ท่านมรณภาพในท่านั่งขัดสมาธิอย่างที่ตั้งใจไว้ ท่านเองทราบวันมรณภาพของท่านอยู่ก่อนแล้วและแจ้งแก่ศิษย์ไว้ว่าถ้าท่านมรณภาพก็ให้นำร่างของท่านใส่โลงในท่านั่งขัดสมาธิอย่างนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้ยินกันมา
จากนั้นเราตัดสินใจกันว่าจะขับรถเที่ยวให้รอบเกาะเพื่อความเป็นไปในยามเย็นของเกาะสมุยอย่างเป็นกันเอง และเมื่อวนมาถึงบ้านของ “พี่” อีกครั้ง เราจึงตัดสินใจเข้าไปเยี่ยมพี่กันอีกที พ่อและแม่บอกเราว่าตำรวจมาถึงแล้วแต่ก็ไม่ได้มีการเก็บลายนิ้วมือแต่อย่างใด เราสองคนยิ้มให้กับพ่อและแม่อย่างเข้าใจ อย่างไรก็ตามเราสองคนทำใจได้และแทบจะไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วนอกจากความผิดหวังที่เพื่อนมนุษย์สามารถทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ขนาดนี้

18.00 น.

หลังจากคุยกับพี่และพ่อกับแม่จนเต็มอิ่ม เราตัดสินใจขับรถไปที่หาดเฉวง ชายหาดที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในเกาะแห่งต้นมะพร้าวแห่งนี้ ระหว่างทางเราจินตนาการถึงเฉวงอย่างที่เราเคยได้ยินมา และเมื่อเฉวงมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว เรารู้สึกว่ามันก็เป็นดังน้องเล็กของสองพี่น้องร่วมตระกูลอย่างพัทยาและหัวหินนั่นเอง ทุกวันนี้เฉวงไม่มีชายหาดสำหรับชาวสมุยอีกแล้ว เฉวงเป็นเพียงสถานที่พักผ่อนของฝรั่งตาน้ำข้าวและชาวไทยจากเมืองกรุงที่หนีความวุ่นวายมาหาความวุ่นวายอีกรูปแบบหนึ่งที่นี่ ชายหาดทั้งหมดถูกจับจองโดยโรงแรมหรูจนเราไม่สามารถจะหาทางลงไปที่ชายหาดได้แต่อย่างใด และด้วยความพยายามที่มีน้อยนิดเราจึงตัดสินใจที่จะออกจากเฉวงโดยไม่มีความอาลัยอาวรณ์ให้กับชายหาดแสนสวยแต่อย่างใด เรามุ่งหน้าสู่มื้อเย็นริมชายหาดในร้านอาหารเลื่องชื่อที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่ที่กรุงเทพแล้วว่าจะต้องนำลิ้นมาสัมผัสเมนูต่างๆ ณ ร้านแห่งนี้ให้จงได้ และเราก็ได้ข้อสรุปว่าร้านอาหารเลื่องชื่อบนหาดละไมแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงราคาคุยแต่อย่างใด

20.30 น.

เบียร์ไฮเนเก้นและ starsoccer ถุกถือติดไม้ติดมือมาจากห้างสะดวกซื้อบริเวณก่อนถึงที่พัก ช่วงเวลาหัวค่ำลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืนสำหรับเราสองคนในคืนนี้เกิดขึ้นราวกับความฝัน หมู่ดาวระยิบเต็มท้องฟ้าอวดแสงสวยระรานตาในชนิดที่คุณจะไม่อาจเห็นได้ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า อีกทั้งหมู่ดาวทั้งหลายยังพยายามทำหน้าที่เป็นดังภาพเขียนแสนสวยที่แอบซ่อนตัวอยู่บริเวณระเบียงหน้าห้องราวกับว่าจะเตือนให้พวกเรารู้ถึงคุณค่าของการเงยหน้ามองฟ้าในยามค่ำคืนที่เราไม่เคยคิดจะทำในเมืองหลวงที่ห่างไกล เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าใส่ริมฝั่งช่างเป็นสำเนียงที่ไพเราะยิ่งนักในคืนนี้ เงียบเหงา ซ่อนเร้นแต่ก็สงบและเย็นยะเยือกจนหัวใจของเราสั่นไหว ค่ำคืนที่สามของเรากำลังจะไหลผ่านเราไปอย่างเนิบช้า หมู่ดาวน้อยใหญ่ยังคงยืนตากลมทะเลอยู่ข้างนอกอย่างไม่เกรงกลัว ผมคิดว่าเหล่าหมู่ดาวทั้งหลายคงจะรู้ รู้ว่าทะเลไม่เคยทำร้ายใครและจะไม่มีวันทำร้ายดาวดวงไหนบนท้องฟ้าสมุยแห่งนี้

Views: 128

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service