เล่าปั่น (พูดคุยกับพี่หน่อง จตุรงค์ หิรัญกาญจน์)

คอลัมน์ INTERVIEW ครั้งนี้นะครับ ทางทีมงาน undomag มาสัมภาษณ์นักปั่นคนหนึ่งที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดกิจกรรมอย่าง Bangkok Bicycle Show 2012 & Bangkok Vintage Bicycle Show และเรียกได้ว่า เป็นสมาชิกรุ่นแรกในเว็บไซต์ thaimtb วันนี้มานั่งพูดคุยกับพี่หน่อง จตุรงค์ หิรัญกาญจน์ อาจารย์พิเศษทางด้านการถ่ายภาพ ผู้ชื่นชอบการปั่นท่องเที่ยวและจักรยานวินเทจ

กิโลเมตรที่ 0 พบเจอ

คอลัมน์ INTERVIEW ครั้งนี้นะครับ ทางทีมงาน undomag มาสัมภาษณ์นักปั่นคนหนึ่งที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดกิจกรรมอย่าง Bangkok Bicycle Show 2012 & Bangkok Vintage Bicycle Show และเรียกได้ว่า เป็นสมาชิกรุ่นแรกในเว็บไซต์ thaimtb วันนี้มานั่งพูดคุยกับพี่หน่อง จตุรงค์ หิรัญกาญจน์ อาจารย์พิเศษทางด้านการถ่ายภาพ ผู้ชื่นชอบการปั่นท่องเที่ยวและจักรยานวินเทจ ทางทีมงานเองไปสัมภาษณ์พี่หน่องที่ร้านพระนครบาร์ ใกล้ๆ กับสี่แยกคอกวัว สัมภาษณ์กันตั้งแต่ประมาณสามทุ่มกว่าๆ จนไปถึงประมาณเที่ยงคืน บอกได้คำเดียวว่า สนุกมาก ประสบการณ์ของพี่หน่องที่นำมาเล่าสู่กันฟังเรียกได้ว่า โหดมันฮาและมีสาระ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขอเชิญติดตามได้ใน “เล่าปั่น” โดยพี่หน่องกันได้เลยครับ

กิโลเมตรที่ 1 คนถีบจักร

เด็กทั่วโลกต้องเคยปั่นจักรยานอยู่แล้ว พี่เองก็รู้จักกับจักรยานมาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนพี่เลี้ยงกระต่าย พี่ก็ปั่นจักรยานไปเก็บหญ้ามาให้กระต่ายกิน พอพี่มีลูก พี่ก็ซื้อจักรยานเมาเทนไบค์มาทำที่นั่งเล็กๆ ให้ลูกซ้อน ปั่นจักรยานพาลูกไปพุทธมณฑลบ้าง ปั่นไปขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมาก จนมาเมื่อซักประมาณสิบปีที่แล้วก็มีเพื่อนฝรั่งคนหนึ่งชื่อว่า เดวิด มาชวนพี่ปั่นทัวริ่งหรือปั่นท่องเที่ยว ทริปแรกของพี่ก็ปั่นจากราชบุรีไปสวนผึ้ง ระยะทาง 80 กิโลเมตรและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่ปั่นจักรยานทัวริ่งมาตลอด

ส่วนตัวพี่เอง พี่ไม่ได้มองจักรยานว่า เป็นแค่ยานพาหนะ พี่มองว่า มันเป็นสิ่งที่พี่รัก เป็นงานอดิเรกก็ได้ เป็นเครื่องมือออกกำลังกายก็ได้ เป็นเครื่องมือพาท่องเที่ยวก็ได้ แล้วยิ่งมาถึงวันนี้ จักรยานสำหรับพี่มันเป็นของสะสมและมันเป็นงานศิลปะ คือ พี่เป็นคนชอบของเก่า พี่สะสมของโบราณมาตั้งแต่เด็กแล้ว เมื่อก่อนพี่ก็เล่นจักรยานยนต์โบราณ รถยนต์โบราณ แต่มันแพง พี่ก็เลยมาเล่นจักรยานโบราณหรือจักรยานวินเทจ

จักรยานวินเทจเนี่ย พี่มองแต่ละจุด แต่ละดีเทลของมันว่า เป็นความงามทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง ลวดลาย อาน เบาะ ล้อ ดุม ทุกอย่างพี่มองว่ามันสวย แล้วพี่ไม่ได้ซื้อมาสำเร็จรูปทั้งคันนะ พี่ซื้อมาประกอบเอง ซื้อมาเป็นชิ้นแล้วเอามานั่งแมทช์กัน เฮ้ย เฟรมนี้ต้องเบาะสีนั้น ต้องเดินสายเบรกสีแบบนี้ ยางต้องสีนี้ พี่ออกแบบด้วยตัวพี่เอง สลับนู่นสลับนี่ รื้อใหม่ประกอบใหม่ อานอันนี้ต้องย้ายไปคันนู้น แฮนด์ต้องอันนั้นต้องย้ายมาคันนี้ เหมือนเป็นงานอดิเรก เป็นความสุขของเราเอง

กิโลเมตรที่ 2 ทัวริ่ง

พี่เป็นคนชอบเที่ยว ชอบเที่ยวแบบผจญภัย เที่ยวแบบลำบาก เที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ พี่ท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์มาตั้งแต่เด็กละ ตอนที่ยังเรียนอยู่ก็เที่ยวในไทย พอเรียนจบก็รู้สึกว่า เมืองไทยมันแคบไปละ พี่ก็ไปเที่ยวต่างประเทศ พี่เคยไปเที่ยวยุโรป คนเดียว 4 เดือน 10 ประเทศ ไปแบบไปทำงานล้างจาน เก็บเงิน ช่วงไหนว่างก็เที่ยว ตอนที่พี่ไปพี่ก็เขียนไดอารี่ไว้ทุกวันเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่แบบ “แม่งสุดยอดในชีวิตอ่ะ” แล้วตอนนี้พี่ก็กำลังเอาตัวหนังสือในไดอารี่มาเขียนใหม่ อยากทำเป็นหนังสือมาเผยแพร่ให้คนได้อ่านกัน แต่เขียนมายี่สิบปีแล้ว ยังไม่จบเลย (หัวเราะ)

แล้วด้วยการที่พี่ชอบจักรยานและชอบเที่ยว อยู่มาวันหนึ่งมีเพื่อนชาวต่างประเทศ ที่ชื่อว่า เดวิดนี่แหละ ก็มาชวนว่า “เฮ้ย หน่อง ยูชอบเดินทางไม่ใช่เหรอ ยูมาปั่นทัวริ่งกับไอดีกว่า” เดวิดเขามีจักรยานเสือภูเขายี่ห้อเมอริด้าเน่าๆ อยู่คันหนึ่ง พี่ก็สนใจ ก็เลยไปซื้อจักรยานยี่ห้อเมอริด้าเหมือนเดวิด แต่เป็นรุ่นใหม่กว่านะ ก็ไปซื้อโดยที่ไม่ค่อยจะมีความรู้อะไรเกี่ยวกับจักรยานเลย แล้วก็ตัดสินใจปั่นไปกับเดวิด

ทริปแรกที่ไปกัน คือ ปั่นจากราชบุรีไปสวนผึ้ง พวกพี่นั่งรถไฟไปลงที่สถานีราชบุรี แล้วก็ปั่นจักรยานไปสวนผึ้งกัน ไปกันแบบไม่ได้ซ้อมเลยนะ พี่ก็ไม่ได้ซ้อม เดวิดก็ไม่ได้ซ้อม ระยะทาง 80 กิโลเมตร ปั่นไปถึงสวนผึ้งพี่เดินไม่เป็นเลยอ่ะ ไปถึงที่สวนผึ้งหกโมงเย็น จำได้เลย โคตรทรมาน แล้วขากลับพี่ก็เอาจักรยานขึ้นรถเมล์มาลงราชบุรี จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับกรุงเทพ นี่คือ ทริปแรก มันเหนื่อยก็จริง แต่พี่รู้สึกหลงใหล พี่รู้สึกว่า “แม่งมันดีว่ะ” มันต่างกับตอนที่พี่ปั่นจักรยานในฟิตเนสที่มันปั่นอยู่กับที่ ปั่นดูทีวี แต่พอพี่ไปปั่นท่องเที่ยว ปั่นเดินทาง พี่รู้สึกว่า มันคือชีวิตเราอ่ะ เหมือนเราแบกเป้เดินเที่ยว นั่งรถเมล์เที่ยว นั่งรถไฟเที่ยว มันได้เห็นวิวทิวทัศน์ มีลมปะทะหน้า จากนั้นพี่ก็เริ่มหลงไหลทัวริ่ง แล้วก็ปั่นกับเดวิดมาตลอด แล้วก็มีสมาชิกคนอื่นๆที่มาปั่นด้วยกัน รวมๆกัน 2-3 คน ปั่นออกไป กางเต้นท์นอน ไปมาหลายที่ หลายจังหวัด เยอะมาก

กิโลเมตรที่ 3 บางกอกบอกกล่าว

พี่เป็นคนชอบของเก่า บ้านเก่าพี่ก็ชอบ ตอนเด็กๆ พี่ชอบเดินดูบ้านเก่า แล้วพอพี่โตมา พี่เห็นบ้านเก่าๆ เหล่านี้มันถูกทุบไปเรื่อยๆ กลายเป็นคอนโดบ้าง อะไรบ้าง พอพี่เห็นบ้านหลายๆ หลังที่พี่เดินดูมาตั้งแต่เด็กโดนทุบ พี่ก็เลยรู้สึกว่า “ทำไงดีวะกู อยากจัดรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการอนุรักษ์บ้านโบราณ อยากให้คนเห็นความสำคัญของบ้านโบราณ” พี่ก็เลยเกิดไอเดียอยากทำรายการนี้ขึ้นมาทางโทรทัศน์ แต่ถ้าอยู่ๆ เลยจะให้พี่ไปนั่งพูดอธิบายไอเดียให้เจ้าของช่องฟัง เขาคงไม่สนใจ พี่ก็เลยคิดว่าควรจะเริ่มต้นจากทำบางกอกบอกกล่าวลงยูทูป ทำไปสักสิบยี่สิบตอน แล้วค่อยส่งรายการของพี่ไปให้เขาดู ก็เริ่มมาจากจุดนั้น

คอนเซ็ปต์ในการทำรายการของพี่ คือ หนึ่ง พี่เป็นพิธีกร สอง ทีมงานทุกคนต้องปั่นจักรยานไปกับพี่ และสาม การออกไปถ่ายทำต้องออกไปวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะพี่อยากไปนั่งคุยกับเจ้าของบ้าน คุยกับคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งเขาสะดวกวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ออกมาเป็นรายการประมาณนี้ ก็มีพี่เป็นพิธีกรแนวดิบๆ ก็ทำงานกันในลักษณะของกองโจร มีความรู้บ้าง ไม่มีความรู้บ้าง ตอนนี้ก็ได้น้องเอ๋มาช่วยถ่ายทำแล้วก็ตัดต่อลงยูทูปให้ ตอนนี้ก็ทำออกมาสี่ตอนแล้ว ตอนที่ห้ากำลังตัดต่ออยู่

ที่พี่อยากทำรายการบางกอกบอกกล่าวนี่ไม่ใช่เพราะว่า พี่อยากดังนะ แต่พี่อยากให้ภาครัฐทำกฎหมายออกมาคุ้มครองตึกเก่า ดูอย่างที่ประเทศอังกฤษเขาทำ เขาอนุรักษ์ตึกเก่ากันมาเป็นร้อยๆ ปี ไม่เคยรื้อ ทุบ ทำลาย หรือถ้ามองใกล้ๆ บ้านเรา ที่สิงคโปร์ ข้างนอกเป็นตึกเก่า แต่ข้างในเขาทำให้เป็นศูนย์การค้าได้ เขาออกแบบได้โดยไม่ต้องทุบทิ้ง ตรงไหนเป็นตึกเก่าเขาอนุรักษ์ไว้หมด หรือถ้าดูที่ประเทศมาเลเซีย เขาอนุรักษ์มะละกาไว้ทังเมือง นักท่องเที่ยวก็มาเที่ยวกันเป็นล้านๆ คนต่อปี พี่อยากให้ทั้งประเทศไทยทำแบบนั้นดูบ้าง ที่กรุงเทพก็มีตึกเก่า ศรีสะเกษก็มีตึกเก่า บุรีรัมย์ ชลบุรี เกาะสมุย เมืองกาญจน์ หรือจังหวัดอื่นๆ ก็มีตึกเก่า พี่อยากให้รัฐบาลสนใจ ออกกฎหมายคุ้มครองตึกเก่า หรืออย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้มันพังไปตามกาลเวลา พี่อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนั้น ก็เลยทำรายการนี้ออกมา และหวังว่ามันจะช่วยทำให้คนหันมาสนใจตึกเก่าได้ พี่มองว่ารายการนี้มันเป็นแค่น้ำหยดหนึ่งอ่ะ แต่ถ้าวันหนึ่งมีน้ำหลายๆหยดมารวมกัน มันก็กลายเป็นมหาสมุทรได้

กิโลเมตรที่ 4 ชนไม่หนี

จุดเริ่มต้นมันมาจากหลายๆ อย่างนะ อย่างแรกเลย คือ เหตุการณ์ชนแล้วหนี พี่เจอมากับตัวเอง คือ พี่ปั่นจักรยานขึ้นสะพานตอนกลางคืน โอเค พี่อาจจะประมาทเองที่คิดว่าตอนกลางคืนมันไม่มีรถ แต่จริงๆ แล้ว ยิ่งดึก รถยิ่งวิ่งเร็ว แล้วพี่ก็เจอไปแบบเต็มๆ พี่โดนรถชน พี่วูบไปเลย เลือดกองเต็มถนน จักรยานเละทั้งคัน พี่เบลอไปหลายเดือน แต่ไม่มีใครตามหาคนขับรถได้ สอง พี่เป็นคนที่ชอบความถูกต้อง ความยุติธรรมในสังคม และกับเหตุการณ์ชนแล้วหนีเนี่ย มันเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และไม่มีใครสนใจ ภาครัฐก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ จนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม พี่เคยได้ยินคนขับรถบางคนคุยกันว่า เฮ้ย ถ้าคุณขับรถชนคนอื่นแล้วหยุดรถ ลงมารับผิดชอบนะ คุณโง่แล้ว และ สาม ตอนที่พี่ประสบอุบัติเหตุเนี่ย มีคนช่วยเหลือพี่เยอะมาก ทั้งโอนเงินเข้ามาช่วยเหลือ บางคนถึงกับประมูลจักรยานเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือพี่ มีรุ่นน้องศิลปากรทำเสื้อยืดออกมาขายเพื่อนพเงินมาช่วยเหลือพี่ พี่ก็เลยรู้สึกว่า “เฮ้ย พี่อยากตอบแทนอะไรให้กับคนที่เข้ามาช่วยเหลือพี่ อยากตอบแทนสังคม” พี่ก็เลยเริ่มต้นด้วยการทำสติ๊กเกอร์ “ชนไม่หนี” ขึ้นมา ซึ่งได้น้องหมึกมาช่วยออกแบบให้ พี่ก็อยากรณรงค์คล้ายๆ กับพวกเมาไม่ขับ อะไรแบบนั้น จริงๆ พี่ก็อยากทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่กว่านี้นะ อยากจะขอสปอนเซอร์มาจัดทำนู่นทำนี้ แต่พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะพี่ไม่ใช่คนดัง ไม่ใช่คนมีอิทธิพล ตอนนี้พี่ก็ทำได้แค่แจกสติ๊กเกอร์ตาม facebook ตามเว๊บ thaimtb ใครสนใจก็ส่งชื่อ ที่อยู่มา พี่จะจัดส่งไปให้เลยทางไปรษณีย์ และตอนนี้ก็มีแฟนเพจ “รณรงค์ชนไม่หนี” ขึ้นมาแล้ว ก็มีน้องคนหนึ่งเขาช่วยทำขึ้นมาให้ แล้วก็มีหลายๆคนที่ช่วยแจกสติ๊กเกอร์ ตอนนี้พวกเราก็ทำกันได้ประมาณนี้

ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องความประมาท ความประมาทของเราเองเราป้องกันได้นะ อย่างพี่เองพี่จะเป็นคนที่ระมัดระวังมาก คนที่ปั่นจักรยานกับพี่ด้วยกันจะรู้ว่า พี่เป็นคนไม่ประมาท จะเปลี่ยนเลนทีก็มองซ้ายมองขวาตลอด แต่ความประมาทจากผู้อื่น พี่ว่า เราจะระวังยังไงเราก็ป้องกันไม่ได้ นอกจากต้องอบรม บ่มนิสัย ให้มีความคิดว่าจะต้องไม่ประมาท ไม่เอาเปรียบผู้อื่น ต้องยืนอยู่บนความถูกต้อง ยุติธรรม ถ้าเราทำผิด เราต้องช่วยเหลือหรือรับผิดชอบผู้เสียหาย และถ้ามองในเรื่องของการขับรถชนคนอื่นเนี่ย สมมุติว่า คุณขับรถชนพี่ แล้วไม่ลงมาดู ขับหนีไปเลย ถ้าพี่ตายขึ้นมา ลูกสาวพี่จะทำยังไง พี่ว่า ถ้าเราขับรถชนคนอื่นแล้วเราลงมาดู พาไปส่งโรงพยาบาล เรายังพอช่วยเขาได้ และยังมีพรบ.มาช่วยจ่ายเงินคุ้มครอง ช่วยเหลือทั้งคนขับและคนถูกชน ขอแค่ให้เราลงมารับผิดชอบ เท่านั้นเอง
ถ้าจะให้รณรงค์กันในเรื่องนี้ พี่ว่าเราต้องอบรมจริยธรรมกับคนไทยให้มากขึ้น เพราะพี่มองว่า ในปัจจุบัน คนไทยไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ และเห็นแก่ตัวมากกว่าในอดีต พี่ไม่ได้เป็นคนนิยมฝรั่งนะ พี่ภูมิใจในความเป็นไทย รักความเป็นไทย พี่เป็นคนไทยคนหนึ่ง แต่พี่มั่นใจว่า ฝรั่งเขามีความรับผิดชอบสูงกว่าคนไทย จริยธรรม ความถูกต้องสูงกว่าคนไทย พี่ไม่รู้ว่า เขาอบรมกันยังไงนะ แต่พี่อยู่ต่างประเทศเนี่ย แค่ยืนอยู่ข้างถนน เขาก็หยุดรถให้พี่ข้ามแล้ว แต่ถ้าเป็นเมืองไทยนะ ไม่มีทาง แค่พี่จะเลี้ยวเข้าซอยบ้านพี่ ยังไม่มีใครหยุดรถให้พี่เลี้ยวเลย พี่ว่า ถ้าเราอบรมจริยธรรมให้มากขึ้น ปลูกฝังกันตั้งแต่วัยเด็ก ทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้น

กิโลเมตรที่ 5 ปั่นกรุง

ถ้าอยากให้คนกรุงเทพหันมาปั่นจักรยานกันนะ พี่ว่า ทุกหน่วยงานต้องมาช่วยกัน อย่างเช่น ต้องมีไบค์เลนที่ดี อย่างในฝั่งยุโรป ฝั่งสแกนดิเนเวียน เขาทำกันมานานแล้ว หรืออย่างในเมืองโบโกตา ประเทศโคลัมเบีย ที่เขาเพิ่งทำกัน ที่นี่เขารณรงค์กันเป็นเรื่องเป็นราว ทำกันใหญ่โตมาก ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรี ส.ส. รัฐมนตรี ทุกคนสนับสนุนเรื่องนี้หมด มีไบค์เลนเป็นเรื่องเป็นราวรอบโบโกตา ไม่เหมือนในกรุงเทพที่ทำไบค์เลนขึ้นมาให้เป็นที่จอดรถ หรือทำขึ้นมาให้รู้ว่ากรุงเทพก็มีไบค์เลน แต่ใช้ไม่ได้

ถ้าจะบ่นว่า เมืองไทยร้อน ไม่เหมาะกับการปั่นจักรยาน พี่ว่าไม่ใช่ เพราะโบโกตาก็ร้อน แต่เขาก็ปั่นกัน ถ้ามีไบค์เลนที่ดีนะ ไม่ต้องคอยหลบรถ ไม่ต้องมองดูรถติด การปั่นจักรยานไม่ร้อนหรอก แป๊บเดียวก็ถึงที่หมาย หรือถ้าเหงื่อออกเยอะ ตอนปั่นไปที่ทำงานก็ใส่แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น แล้วพอไปถึงที่ทำงานก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งจุดนี้ที่ทำงานต่างๆ ก็ต้องช่วยกันสนับสนุน หรืออย่างเรือด่วนสาทรอย่างเงี้ย ถ้าเขายอมให้เอารถจักรยานลงเรือได้ พี่ว่าจะมีคนปั่นจักรยานไปทำงานนะ และถ้าคนในกรุงเทพหันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้นนะ พี่ว่า กรุงเทพจะน่าอยู่มากขึ้น รถจะติดน้อยลง คนไทยจะสุขภาพจิตดีขึ้น เราจะไม่ต้องตื่นตีห้าออกไปเรียนไปทำงานและกลับถึงบ้านสองสามทุ่มเพราะรถติด

กิโลเมตรที่ 6 และกิโลเมตรต่อๆไป

ทุกวันนี้ พี่ว่า คนกรุงเทพส่วนใหญ่มีสุขภาพจิตแย่ เครียดจากปัญหาจราจร ขับรถปาดหน้ากันก็ลงมายิงกันตาย เด็กโตในรถ เพราะต้องตื่นตีสี่ตีห้าไปโรงเรียน พ่อแม่ไม่ค่อยได้เจอลูก กว่าจะถึงบ้านก็สองสามทุ่มเพราะรถติด บอกตรงๆ ชีวิตคนกรุงเทพเป็นชีวิตที่โคตรเศร้าเลย ไม่มีโอกาสอยู่ในสวนสาธารณะเหมือนอย่างในลอนดอนหรือในปารีส ถ้าเป็นเมืองนอกนะ สี่ห้าโมงเย็นเขาถึงบ้านกันละ เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปวิ่ง เล่นกับหมา อยู่กับลูก สองทุ่มนั่งดูทีวี สนุก เฮฮา สี่ทุ่มนอน เช้าตื่นเจ็ดแปดโมงไปทำงาน แต่ถ้าเป็นเมืองไทย เด็กป.1 ต้องตื่นตีห้าเพื่อที่จะนั่งรถไปโรงเรียนเพราะปัญหารถติด

นอกจากจะช่วยลดโลกร้อน ลดมลภาวะแล้ว ถ้าคนกรุงเทพหันมาใช้จักรยานกันมากขึ้นนะ ไม่ต้องมากมาย แค่ 20% ก็น่าจะพอ ถ้ากรุงเทพทำไบค์เลนดีๆ ให้เขานะ คนกรุงเทพจะเลิกขับรถเพราะอยากประหยัดเงิน เพื่อนพี่ในวงการจักรยานด้วยกันหลายๆ คน อดีตเคยเสียเงินหกเจ็ดพันเป็นค่าน้ำมัน แต่ตอนนี้เขาเอาเงินหกเจ็ดพันนั้นไปทำอย่างอื่น ไปเป็นค่าเรียนหนังสือของลูก เอาไปซื้อขนมให้ลูกกิน เขาประหยัดเงินได้เพราะปั่นจักรยานไปทำงาน และคนอีก 80% ที่เหลือ ที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์จริงๆ ก็จะมีความสุขมากขึ้นด้วย เพราะรถติดน้อยลง คนบนถนนจะยิ้มได้มากขึ้น ได้นอนมากขึ้น ได้กลับบ้านเร็วขึ้น พี่ว่ามันเป็นผลดีต่อส่วนรวม ถ้าเรากันมาใช้จักรยานกัน แต่ก็นั่นแหละ สิ่งสำคัญคือ ภาครัฐและภาคเอกชนต้องหันมาให้ความสำคัญกับการปั่นจักรยาน

หลายๆ ประเทศที่เขาสนับสนุนให้ใช้จักรยาน คนในประเทศนั้นมีสุขภาพจิตที่ดีมาก อย่างเช่น กรุงอัมสเตอร์ดัม เขาแทบไม่ใช้รถยนต์กันเลย หรืออย่างในลอนดอน รถก็มีน้อยมาก เพราะเขาออกกฎหมายควบคุมปริมาณรถยนต์ และหันมาให้จักรยานกัน พี่ก็อยากให้ใครก็ได้ที่มีพาวเวอร์ ที่มีศักยภาพที่จะมาลงสู่สนามการเมืองได้เนี่ย อยากให้ลงมาต่อสู้ด้วยกัน ทำให้คนกรุงเทพหันมาใช้จักรยานกันมากขึ้น แล้วพี่ว่ากรุงเทพจะดีขึ้น หรือไม่งั้น วันใดวันหนึ่งถ้าน้ำมันหมดโลก หรือน้ำมันขึ้นไปถึงราคาลิตรละร้อยบาทเมื่อไหร่ ทุกคนก็อาจจะหันมาขี่จักรยานกันมากขึ้นอย่างจริงจังก็เป็นได้

สุดท้าย พี่ว่า จักรยานมันทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เพราะทุกวันนี้ที่พี่เจอคนปั่นจักรยานด้วยกัน ทุกคนจะยิ้มให้กัน และคุยด้วยกันง่าย แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ตาม

UNDO Magazine issue 17 – Bike Inspiration
URL - www.undomag.com
FB - www.facebook.com/undomagazine
Issuu - UNDO Magazine

Views: 930

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service