ชีวิตที่เลี้ยวซ้าย ตอนบัณฑิตฝึกงาน

มีคำพูหนึ่งยังดังอยู่ในหัวสมองของฉันเสมอ “คุณไปได้ไกลเท่าที่คุณผลักดันตัวเอง”

ฉันไม่รู้ว่าอะไรที่ผลักดันฉันให้มายืนอยู่ในจุดนี้…นักศึกษาฝึกงาน

 

มันไม่ใช่ตำแหน่งที่น่าภาคภูมิใจเลยสักนิดสำหรับบัณฑิตคนหนึ่งที่ผ่านวันที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรมาแล้ว

แต่คำตอบของคำถามที่ว่าอะไรที่ผลักดันฉันให้มายืนอยู่ในฐานะอันน่าสงสัยนั้น คำตอบคงหนีไม่พ้น “ฉัน”เอง

แต่ความภาคภูมิใจหรือไม่ภาคภูมิใจของฉันไม่ได้อยู่ที่การผลักดันตัวเองมาอยู่ตำแหน่งนี้

แต่เป็นความภาคภูมิใจในตัวเองที่กล้าก้าวมาทำในสิ่งที่ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามตัวเองว่า “ฉันกำลังทำอะไรอยู่”…

 

ฉันจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ มันคือวันสอบวิชาท้ายๆของการปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ของนิสิตชั้นปีที่สาม

วันที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งคืน ฉันเคี่ยวเข็ญอยู่กับตำราอย่างหนัก ไม่มีพื้นที่ใดในสมองว่างเปล่า

พื้นที่ว่างมากมายในสมองถูกแทนที่ด้วยความรู้อย่างรวดเร็วภายในหนึ่งคืน จริงอยู่ว่าการเรียนรูปแบบนี้ไม่เคยได้ผลในระยะยาว

แต่สำหรับในระยะสั้นแล้ว มันได้ผลดีเป็นที่สุด…

 

สมุดเปล่าสี่เล่มสีสันต่างกันแนบมากับกระดาษข้อสอบชุดหนาถูกวางอย่างเรียบร้อยลงบนโต๊ะสอบ

เมื่อถึงเวลาแปดนาฬิกาสามสิบนาทีตรง อาจารย์ให้สัญญาณทำข้อสอบได้

ทุกคนรีบเปิดข้อสอบและลงมือทำกันอย่างขะมักเขม้นด้วยกลัวว่าจะทำไม่ทันในเวลาที่มีอย่างจำกัด

 

ฉันก็เป็นนิสิตคนหนึ่งที่ประพฤติไม่แตกต่างจากนิสิตอื่นๆในห้องสอบที่มีบรรยากาศเงียบสะงัด มีเพียงเสียงหน้ากระดาษที่พลิกไปมาเท่านั้นที่เป็นสัญญาณบอกว่าห้องนี้มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่

 

ฉันทำข้อสอบข้อแล้วข้อเล่าอย่างไม่สะดุด(หากสะดุดบ้างก็ข้ามไปก่อน) แต่โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่พอถูไถได้

ข้อสอบในภาควิชาของฉันส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข้อเขียน หากโชคดีมากๆ(ในกรณีที่อาจารย์ไม่สบาย ไม่อยากตรวจ)

ก็พอจะมีข้อสอบตัวเลือกให้เห็นบ้าง แต่มันจะยากกว่าการนั่งเขียนจนมือหงิกถึงวินาทีสุดท้ายของเวลาสอบมากเอาเรื่องเหมือนกัน

 

ในขณะที่ฉันกำลังง่วนอยู่กับการเขียนคำตอบอย่างเร่งรีบ อยู่ๆสายตาและสมองก็หยุดอยู่กับข้อสอบที่ทำตรงหน้าอย่างดื้อๆ

ไม่ใช่ว่าข้อสอบนั้นยากจนทำไม่ได้ เพียงแต่แว๊บหนึ่งของสมองที่อัดแน่นไปด้วยความรู้ที่เริ่มถ่ายเทลงบนกระดาษบ้างแล้ว

ก็เกิดคำถามที่ว่า “นี่ฉันกำลังนั่งทำอะไรอยู่เนี่ย??”...

ความรู้สึกไม่ถูกที่ไม่ถูกทางเกิดขึ้นในใจอย่างเงียบๆ

แม้ฉันจะรู้ดีมาตลอดสองปีกว่าๆที่ผ่านมาว่ามันไม่ใช่ตัวตนของฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ

แต่ฉันยังคงกล้าหาญไม่พอที่จะเดินถอยหลังไปเริ่มนับหนึ่งใหม่

เช่นเดียวกันในวันนั้นที่คำถามนั้นเกิดขึ้นมายามที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดคำตอบที่อยู่บนกระดาษคำตอบ

ก่อนที่น้ำตาจะไหลเลอะกระดาษ ฉันสะบัดหัวไล่ความรู้สึกปวดร้าวในหัวใจที่กำลังเลือกที่จะเดินในสิ่งที่ไม่ใช่ไปจนสุดทาง

หากวันนั้นฉันมีความกล้าพอ ฉันอาจหยุดทำข้อสอบแล้วเดินออกจากห้องไปแล้วก็เป็นได้

 

วันเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะด้วยวุฒิภาวะหรือความดื้อด้าน เอาแต่ใจที่แฝงอยู่ในร่างของฉันตั้งแต่เด็กจนโต

และไม่มีท่าทีว่าจะน้อยลง ฉันค้นพบเส้นทางใหม่ที่อยากจะเลือกเดิน

และความจริงแล้วฉันควรเลือกเรียนไปตั้งแต่ต้น

"การเขียนหนังสือ"

 

ความจริงความคิดนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่หลายครั้งมันกลับสวนทางกันในทางปฏิบัติ

ฉันเริ่มง่ายๆจากการเขียนไดอะรี ซึ่งก็ทำมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเลยสักเล่ม

อาจเป็นเพราะเรื่องราวตอนเด็กของฉันคงไม่แตกต่างจากเด็กทั่วๆไปก็เป็นได้

(ถ้าจำไม่ผิดฉันเคยอยู่ชมรมนักเขียนตอน ม.2 เขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คงรีไซด์เคิลเป็นกระดาษแผ่นใหม่ไปแล้ว)

 

จนกระทั้ง...ไม่แน่ใจว่าอะไรมาดลใจ หรือบางทีฉันอาจเคยเปิดโทรทัศน์

และได้ฟังเรื่องราวของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ที่เค้าแนะว่า การอ่านหนังสือมากๆ เป็นการเปิดโลกทัศน์

ฉันเริ่มอ่านหนังสือหลากหลายมากขึ้น กว่านวนิยาย

จนอ่าน"ความน่าจะเป็น" ขอบปราบดา หยุ่น ในหลายปีหลังจากที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์

สิ่งนั้นเปลี่ยนความน่าจะเป็นทุกอย่างที่ฉันเคยคะเนไว้

หลายอย่างในหนังสือไม่มีบทสรุปที่แน่นอน แต่ฉันชอบถ้อยคำซับซ้อนในหนังสือเล่มนั้นยิ่งนัก...

คนธรรมดาอย่างฉันจึงเกิดอาการอยากขีดๆเขียนๆขึ้นมาอย่างจริงๆจังๆ ด้วยสำนวนที่ไม่น่าจะเป็น(เขียน)ไปได้

 

...ในขณะที่เราคิดว่าจะเดินไปขวาอย่างแน่วแน่แต่จู่ๆกลับเปลี่ยนใจเลือกเดินไปทางซ้าย

แน่นอนว่าการตัดสินใจเหล่านั้น เราเองเป็นผู้เลือก

แต่ลึกๆแล้วฉันเชื่อว่า "โชคชะตา" มีส่วนเกี่ยวข้อง...

 

วันหนึ่งฉันได้ทำความรู้จักกับพี่เจ้าของนิตยาสารฉบับหนึ่ง

ซึ่งต้องยอมรับว่า ฉันเองไม่รู้จักนิตยาสารเล่มนั้นด้วยซ้ำ

แต่คล้ายๆจะเป็นสัญญาณโอกาสที่ดี ที่จะได้ก้าว...

 

ฉันไม่คิดว่างานเขียนของฉันดีเด่อะไร

และส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเขียนออกมาเป็นกิจลักษณะ

 

โอกาสที่เค้ามอบให้เป็นเพียงการไปลองฝึกงานดูก่อน ว่ามันใช่สำหรับเรารึเปล่า...

แน่นอนว่าคนที่จบวิทยาศาสตร์ ทำอะไรด้วยเหตุผลมาโดยตลอด

อยู่ๆจะกระโดดตัวเปล่าลงมาในทางศิลปะที่อารมณ์ บวกกับพรสวรรค์เล็กๆ มีผลเป็นอย่างยิ่ง ย่อมต้องถูกมองด้วยสายตาตั้งคำถาม

 

และฉันผู้หญิงกรุ๊บบีที่เค้าว่ากันว่าเป็นกรุ๊บเลือดที่ทำอะไรตามอารมณ์เสมอ

ก็กระโดดลงไปเริ่มต้นกับ นิตยสาร happenning ในฐานะ "นักศึกษาฝึกงาน"

 

จะว่าหลอกตัวเอง หรือว่าพยายามหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเอง อะไรก็ตาม

แต่ฉันคิดว่านี่คือโลก โลกที่เราต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆจนวันตาย

บวกกับงานบางอย่างมันต้องใช้ประสบการณ์และฉันจะไม่ปฏิเสธประสบการณ์ครั้งนี้

 

เป็นเวลาเดือนกว่ากับนิตยสารบันเทิงแนวศิลปะ

ฉันเหมือนได้เจอโลกใหม่

การสังเกตบางสิ่งบางอย่างของฉันไม่เหมือนเดิม

ทุกครั้งที่เริ่มก้าวเท้าออกจากบ้านในแต่ละวันที่ธรรมดา กลายเป็นวันที่มีเรื่องราวให้อยากจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ

ได้ตื่นเต้นเวลานั่งลงข้างๆกับใครหลายคนที่เราเคยชื่นชมเค้าผ่านจอทีวี

ได้พูด รับฟังและเห็นมุมมองดีๆผ่านงานศิลปะ

 

ทุกอย่างมันทำให้ฉันกล้า(หรือดื้อ)มากขึ้นไปอีก

กล้าที่จะไม่เอาแต่แก้ตัวให้กับความเกียจคร้านว่า...ฉันยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ

กล้าที่จะเผชิญหน้ากับทุกคำครหา

กล้าที่จะเดินตรงบนทางเลี้ยวที่เลือกเดิน

และฉันจะผลักดันตัวเองให้ก้าวเดินไปให้ไกลที่สุด...

Views: 94

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service