ฉันแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าความสุนทรีย์ที่เสพมาวันนี้มันทำให้การเดินทางอันวุ่นวายผ่านไปอย่างปกติ
และความเหน็ดเหนื่อยของวันไม่สร้างความอ่อนล้าพอที่จะทำให้ฉันล้มตัวลงนอนบนฟูกหนานุ่ม
และแอร์เย็นช่ำได้
จนได้นั่งลงบนโซฟาสีแดงตัวโปรดในบ้าน
พร้อมกับแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยมที่จะเขียนถึงความรู้สึกดีๆ ที่ประสบมาในวันนี้
จึงค้นพบว่าสภาพแวดล้อมวันนี้น่าโมโหมากเพียงใด...
ฉันออกมาจากหอศิลป์ตอนฝนเริ่มซาแล้ว แต่ไม่วายทิ้งความเฉอะแฉะไว้เกือบทุกอณูของพื้นที่ต้องย่ำ
ทำให้ทุกย่างก้าวช้าลงกว่าปกติ..
คืนนี้ก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่ฝนตก ส่งผลให้มหานครแห่งรถติดยิ่งติดหนักเข้าไปใหญ่
และประโยคที่ว่า "ฝนนำพามาซึ่งควมชุ่มช่ำ" ใช้ไม่ได้กับเมืองหลวงที่ผู้คนหนาแน่น ซ้ำยังมีไอร้อน(ระอุ)แทรกอยู่ในทุกฤดูกาล
สภาพของฉันที่แบกของพะรุงพะรัง...บ่าขวารับน้ำหนักของกระเป๋าสะพายที่ภายในบรรจุเน็ตบุ๊ค 1.3กิโลกรัม ที่ชาร์ตแบตอรี่ทั้งของเน็ตบุ๊คและโทรศัพท์มือถือ ไดอะรีเล่มโตและเล่มเล็ก บวกกับของผู้หญิงๆจุ๊กจิกอีกเล็กน้อย มือขวาถือถุงที่มีกระดาษเอสี่ประมาณครึ่งรีม หนังสือแจกฟรีเล่มหนาพอควร และวารสารจากนิทรรศการ มือซ้ายถือร่ม จึงทั้งเหงื่อไหลและไคลย้อยไปตามระเบียบ
ฉันเลือกขึ้นรถเมล์เพื่อไปต่อรถตู้อีกต่อที่อนุสาวรีย์ฯ
ทั้งเพราะมันประหยัดและแถมรถเมย์ยังจอดถึงวินรถตู้ เลยไม่ต้องเดินให้เมื่อยขา
แต่จนแล้วจนรอด รถเมย์สายที่ต้องการก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาเสียที ฝนยังคงตกไม่ขาดสาย รถทวีความติดอย่างต่อเนื่อง
ฉันตัดสินใจใหม่หลังจากรอรถเมย์ไปเกือบสิบนาที เลือกการเดินทางที่แพงขึ้น เดินเยอะขึ้น แต่รวดเร็มกว่า..BTS
บนสะพานลอยมีนักดนตรีตัวน้อยเป่าแคนไม่เป็นเพลง ฉันหยุดเพื่อหาเหรียญไม่กี่บาทที่หายากเอาการแล้วหยอดลงกระป๋อง
เป็นเวลาเดียวกับคำขอบคุณส่งๆถูกเปล่งออกมาจากปากของเด็กคนนั้น
ฉันไม่ได้รู้สึกติดใจกับการกระทำนั้น
เพียงแต่คิดว่าหลายครั้งที่มีใจคิดอยากทำบุญในรูปแบบคล้ายๆกันนี้ แต่ก็ทำแค่เพียงเดินผ่านเพราะมันลำบากที่จะหยิบสตางค์
ทั้งๆที่ความจริงแล้วเราก็แค่...หยุดแล้วหามัน
ที่วินรถตู้คนรอขึ้นรถเกืบร้อยคนเห็นจะได้
ฉันเดือนฝ่าฝูงชนย่อมๆไปต่อคิวอย่างที่ปัญญาชนพึงกระทำ
หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพบรรยากาศแออัด
และรอในสภาพพะรุงพะรังนั้นเกือบชั่วโมง
ด้วยความเยอะของข้าวของและท่าทางไม่เหมาะสมในการถือถุง ทำให้ของในถุงหล่นกระจายลงพื้น
ฉันเพียงใจเย็นรับความช่วยเหลือจากคนข้างๆ(แหะๆ เค้าเหล่านั้นยินดีช่วยนะ เค้าคงสังเวช)
ตลอดทางบนรถตู้ฉันฮัมเพลงอารมณ์ดี...
(ซึ่งธรรมดาแล้วฉันหลับทุกทีที่ขึ้นรถ)
(ฮ่าๆๆ)และที่บ่นมากมายนั้นแค่กำลังจะบอกว่ามันเป็นผลจากการสื่อสารระหว่างฉันกับงานศิลปะ
และระหว่างฉันกับศิลปินผู้ถ่ายทอดศิลปะ..."ความรู้สึกดีและภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสื่อที่ดี"
เพียงแค่ได้เห็นผลงานก็ทำให้อึ้งปนทึ่งแล้ว...
นิทรรศการนี้ไม่ได้เป็นผลงานของศิลปินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะเป็นศิลปินรุ่นใหม่จากสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 28 ชีวิต
ที่หยิบเอาศิลปะ วัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่และความคิดอันงดงามของทางภาคใต้มาเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะที่มีรูปแบบแปลกตา
ละเอียด สวยงามและปราณีต หลายๆงานฉันเองคิดไว้ในใจว่าเค้าต้องทำเป็นปีแน่ๆเลย
ยิ่งได้มีโอกาส(จากการติดสรอยห้อยตามพี่ๆ)ไปร่วมพูดคุยกับเจ้าของผลงานเองแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเยี่ยมยอดของผลงานเข้าไปใหญ่ ได้รู้ที่มาและแรงบันดาลใจของผลงานนั้นๆ บางแรงบันดาลใจก็สะเทือนอารมณ์ บางแรงบันดาลใจก็อบอุ่น
ได้เห็นมุมมองอันงดงามของคนใต้ ที่ช่างแตกต่างจากข่าวสารความโหดร้ายที่เราได้รับทราบในทุกวันๆอย่างสิ้นเชิง
ฉันยอมรับว่าฉันเองรู้สึกประนามการกระทำเหล่านั้นในช่วงแรกๆ แต่พอนานวันเข้าก็กลายเป็นไม่ใส่ใจไปแล้วว่าวันนี้จะมีระเบิดกี่ที่
ใครต้องตายไปกี่คน ทำได้แค่ภาวนาให้วันหนึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สิ้นสุดลง
เช่นเดียวกับเหล่าศิลปินทั้ง28 ท่าน ที่ต้องปรับตัวและอยู่กับความเลวร้ายเหล่านั้นให้ได้
ในทางกลับกันเขากำลังพยายามสื่อสารความงดงามและน่ารักในวิถีของชาวใต้ในรูปแบบของงานศิลปะ ที่สื่อไม่ค่อยนำเสนอ
มันสะท้อนอะไรบางอย่างได้ว่า "ผู้คนรวมถึงบรรพบุรุษผู้มีความสุนทรีย์เช่นนี้จะมีจิตใจทารุณได้อย่างไร"...
เมื่อสังคมต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ไม่รู้ใครเป็นพวกใคร
ศิลปะของชาวสี่จังหวัดชายแดนจึงไม่สามารถทำออกมาได้อย่างอิสระ
เพราะถูกกรอบทั้งทางด้านศาสนาและสังคม...
ยังมีมุมอีกมากมายของชาวด้ามขวานที่เรายังไม่เคยได้สัมผัส
บางทีเราก็ไม่ควรตัดสินเพียงสิ่งที่เห็นด้านเดียว
ลองหาโอกาสเข้าไปรับฟังกับนิทรรศการที่มีชื่อว่า..."ลีลาของลายใหม่"
แล้วเธอจะไม่'เห็นใจ'เขา แต่เธอจะ'เข้าใจ'เขา
นอกจากจะยินดีกับการได้เป็นสื่อเล็กๆจากที่อาจารย์เจาะอับดุลเลาะบอกกับเราว่า "ต้องการจริงๆที่จะเห็นสื่อเสนอเรื่องราวของจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมุมดีแบบนี้บ้าง"
ยังได้แรงบันดาลใจอีกหลายอย่างในการใช้ชีวิต
เช่น จากคำพูดหนึ่งของอาจารย์ที่น่าคิดมากคือ "ถ้าทุกคนตระหนักได้ว่าวันหนึ่งเราต้องตาย จะไม่มีใครทำความชั่ว"
และแรงบันดาลใจในการเลือกเรียนศิลปะของพี่นุรัตนา หะเว 'ที่เธอเริ่มนับหนึ่งด้านศิลปะตอนเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
จากความประทับใจในงานศิลปะของเพื่อน แล้วอยากจะเรียนรู้แต่เพื่อนของเธอคนนั้นสอนเธอไม่ได้ เพราะที่เขาวาดมันออกมาได้นั้นมาจากการสังเกตพ่อของเขาวาดมาตั้งแต่เด็ก' เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ที่ถ่ายทอดกันมาทางสายเลือดก็น่าจะได้
ความชำนาญเริ่มก่อตัวตามชั่วโมงที่เธอใช้ไปกับการรังสรรค์งานศิลปะชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนกลายเป็นผลงานที่มีอัตลักษณ์
และได้แสดงผลงานให้ใครหลายๆคนได้ซึมซับแรงบันดาลใจจากเธออย่างที่ฉันรู้สึกในวันนี้
มันทำให้ฉันมั่นใจในหนทางที่มีความรู้สึก "อยาก"นำ และรู้ว่าต้องใช้เวลาและความหมั่นเพียรมากมายเพียงใดกับมัน
ศิลปะสำหรับฉันในวันนี้มันก็เหมือนกับประตูบานเล็กๆบนกำแพง...ที่พาเราข้ามผ่านทุกอคติได้
ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างลึกซึ้ง เจือความอ่อนโยน
หนทางแห่งการแก้ไขปัญหามีมากมายหลายวิธี
ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำให้เห็นถึงสิ่งที่เลวร้าย
แต่มองหาความสวยงามที่แอบแฝงอยู่
และวันที่สิ่งแวดล้อมชวนโมโห ก็ถูกขับเคลื่อนให้ผ่านพ้นไปด้วยการยิ้มรับมุมมองใหม่ในชีวิต...
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by
You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!
Join PORTFOLIOS*NET