มุมคิด & มุมกล้อง ชำนิ ทิพย์มณี


ผมไม่อยากเรียกตัวเองว่า ช่างภาพ ผมเรียกตัวเองว่า ผู้แสดงความคิด

สำหรับคนในวงการถ่ายภาพแล้ว ต่างรู้จัก ชำนิ ทิพย์มณี ช่างภาพแนวหน้าของเมืองไทย ซึ่งเขาบอกว่า "ผมไม่อยากเรียกตัวเองว่าช่างภาพ ผมเรียกตัวเองว่า ผู้แสดงความคิด" (ในภาพที่ถ่าย) และเมื่อ 18 ปีที่แล้ว เขาและเพื่อนเปิดบริษัทตาชำนิ จำกัด (Chamni’ eye Co., Ltd.) เพื่อรับถ่ายภาพโฆษณา ซึ่งตอนนั้นในเมืองไทยไม่เคยมีบริษัทแบบนี้ กระทั่งขยายสาขาไปที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม ในนามบริษัท โพรเฟชชันนั่ล อิมเมจ จำกัด


บริษัทตาชำนิ จำกัด ไม่ได้มีแค่เขา ยังมีเพื่อนช่างภาพและทีมงานอีกหลายสิบชีวิตที่ทำงานร่วมกัน ด้านหนึ่งชำนิถ่ายภาพโฆษณา อีกด้านถ่ายภาพชีวิตและภาพสารคดี ส่วนงานที่เขายังทำต่อเนื่องในตอนนี้คือ การถ่ายภาพคนดังในประเทศสวิตเซอร์แลนด์


หลังจากคุยกันหลายเรื่อง สุดท้ายเขาบอกว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาไกลขนาดนี้ จากเด็กขายของที่ระลึกแถววัดโพธิ์ จบแค่มัธยมปีที่ 6 เพราะความใฝ่รู้ อยากเรียนรู้โลก จึงเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปยุโรป เที่ยวบ้าง เรียนภาษาบ้าง และที่อิตาลีได้เรียนการถ่ายภาพจาก Istituto Europeo De Design ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ และชีวิตก็เรียนรู้ไม่จบสิ้น ชำนิบอกว่า "ผมยังแสวงหาความรู้ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำตลอด เพื่อเข้าใจตัวเอง"...


คุณบอกว่า ชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ ?


ไม่เคยคิดเลย แต่ปฏิบัติการโลกหมุน เราก็ก้าวต่อไป มันเป็นจังหวะชีวิตที่ดี อย่างตอนนี้ผมและทีมงานมีบริษัทที่เวียดนาม เป็นสิ่งที่ทีมงานช่วยกันคิด ถ้าพลาดในสมรภูมิการถ่ายภาพที่ไหน เรามีสถานที่รองรับ และได้ส่งคนไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในประเทศนั้น เราส่งคนไปเรียนรู้ในต่างประเทศเยอะ ในอนาคตประเทศเพื่อนบ้านจะต้องเติบโต ไม่ใช่แค่อเมริกา ยุโรป เพราะในแถบเอเชียวัฒนธรรมมีความแข็งแกร่ง เราก็ควรเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ในช่วงแรกๆ วิธีการแบบนี้ค่อนข้างเพ้อฝัน แต่ทีมงานก็คิดว่า ทำได้ ผมจึงคิดว่า เราต้องฝึกคนให้มากขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนนั่นแหละสำคัญ ถ้าคนใช้ไม่ได้ ก็มีปัญหา


ย้อนไปถึงตอนวัยรุ่น ที่คุณบอกว่าเป็นพื้นฐานที่ดีให้ชีวิตช่วงนี้ ?


ผมเคยเป็นเด็กขนเครื่องเสียงตามแคมป์ฝรั่งที่มาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา จ.ชลบุรี ตอนนั้นได้ค่าแรงวันละ 20 บาท บางวันได้กินข้าวมื้อเดียว จากนั้นผมมาอยู่กรุงเทพฯ คุณเคยเห็นเด็กแถววัดพระแก้วขายของไหม นั่นแหละผม ผมทำแบบนั้น ขายของที่ระลึกให้คนต่างชาติแถววัดโพธิ์ ทำให้ผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็น มองลักษณะคนและฟังภาษา ผมเรียนไม่สูงแค่มัธยมปีที่ 6 ที่ผมเปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะผมได้เจอคนหลายชาติ ทำให้ผมมีความรู้เยอะ มันเป็นบทเรียนที่เป็นจริงในชีวิต ผมใฝ่หาความรู้มาเติมให้ชีวิตอยู่เรื่อยๆ ผมฝึกการฟัง สังเกตพฤติกรรมผู้คน ต้องดูให้ออกว่า คนชาติไหนโต้ตอบอย่างไร


ผมไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เพราะผมขี้เกียจ ไม่ค่อยอ่านหนังสือ อ่านเฉพาะที่ชอบและอยากทำ แต่ผมไม่เล่นการพนัน ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า และปฏิเสธความรุนแรง แม้ตอนวัยรุ่น ผมจะไม่รู้ว่า ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อ แต่ผมรู้ว่าผมต้องเป็นคนดี เพราะผมขายของเล็กๆ น้อยๆ ให้ฝรั่ง ทำให้ผมมีความรู้เรื่องภาษา และทำให้ผมรู้ว่า ในโลกนี้มีอะไรที่จะเรียนรู้อีกเยอะ


คุณจับกล้องถ่ายรูปครั้งแรกตอนไหน


ผมถ่ายภาพมาตั้งแต่เด็ก ผมถ่ายภาพคนมาตลอด ผมมีกล้องตัวเล็กๆ ของพ่อ แล้วเก็บเงินจากการขายของเพื่อซื้อกล้อง และช่วงที่ผมขายของแถววัดโพธิ์ มีอยู่วันหนึ่งคุณทอม เชื้อวิวัฒน์มาถ่ายภาพในร้าน ตอนนั้นเจอกันไม่นาน แต่รู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างตรงกัน หลังจากผมขายของมานานกว่า 4 ปี ผมเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน อายุ 27 ปีก็เดินทาง ตอนนั้นผมไปสวิตเซอร์แลนด์ เพราะผมรู้จักชาวต่างชาติครอบครัวหนึ่ง ชวนผมไปเที่ยวบ้าน ผมก็เรียนภาษาบ้าง โบกรถเที่ยวไปเรื่อยๆ ไปเยอรมันด้วย รวมๆ ประมาณ 6-7 เดือน ตอนนั้นผมเอาขายของที่ระลึกจากเมืองไทยไปขายในตลาดมืด บางครั้งให้เด็กฝรั่งช่วยขาย สมัยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว


การโบกรถเที่ยวในยุโรป ทำให้คุณเริ่มรู้ว่าจะทำอะไรต่อ


เงินหมด ก็กลับมาเมืองไทยขายของเก็บเงิน แล้วปี 1979 ผมเดินทางไปสเปน เรียนภาษา แล้วมีแฟนเป็นคนสวิส กลับมาอยู่สวิตเซอร์แลนด์ด้วยกันพักหนึ่ง แล้วเรียนภาษาเยอรมัน ผมเป็นเด็กบ้านนอกได้แค่นี้ก็ดีแล้ว จนปี 1980 ผมเดินทางอีกไปอิตาลีคราวนี้ ไปเรียนภาษาและเรียนถ่ายภาพอยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปี เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในช่วงรอยต่อของชีวิต ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ คือ การถ่ายรูป และการเรียนรู้วัฒนธรรม


ค่อนข้างพอใจกับชีวิตช่วงนั้น ?


เราไม่ใช่คนยุโรป ถ้าเราไปอาศัยแผ่นดินของคนต่างชาติอยู่ เรายังเป็นคนในประเทศโลกที่สาม ทำให้เราคิดว่า ทำไมเราต้องด้อยโอกาสขนาดนี้ ผมได้เรียนรู้เรื่องความรักประเทศชาติ คนส่วนใหญ่ดิ้นรนเพื่อหาอนาคตตัวเอง แต่คนไทยไม่ค่อยดิ้นรนเพราะคนประเทศนี้รักความสบาย ผมเจอผู้หญิงไทยไปผจญภัยทั่วยุโรปเยอะ เพราะเศรษฐกิจบ้านเราไม่ดี ผมชอบประเทศในยุโรป เพราะมีวัฒนธรรมที่ยืนยาวกว่าพันปี ไม่ว่าเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม แต่ประเทศที่ผมรักมากที่สุดคือ ประเทศไทย สามารถหายใจเข้าและออกได้ดีที่สุด


กระทั่งคุณได้เป็นช่างภาพเต็มตัว มีบริษัทรองรับงานถ่ายโฆษณา ?


เมื่อผมกลับมาทำงานเซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนสโตร์ ตอนนั้นคุณสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ให้โอกาสผม ผมได้เริ่มต้นการเป็นช่างภาพจริงๆ เพราะเศรษฐกิจกำลังบูม ผมตั้งบริษัทกับเพื่อน ตอนนั้นเป็นบริษัทเดียวที่รับงานถ่ายภาพโฆษณา นั่นเป็นงานอาชีพที่มีรายได้ ซึ่งทำให้ผมได้ทำงานถ่ายภาพชีวิตอีกมุมที่ผมชอบ


การถ่ายภาพเป็นอาชีพที่ชอบ แต่สิ่งที่คุณสนใจมากกว่าคือ การเรียนรู้ผู้คน ?


ผมรู้สึกว่า ผู้คนน่าสนใจมากที่สุดในโลก แม้กระทั่งการนั่งคุยเรื่องไร้สาระ ก็มีบางอย่างที่เราเก็บมาใช้ได้ ผมจึงชอบเดินทาง ทำไมคนเราต้องอยู่นิ่งๆ โลกก็หมุน คุณจะหมุนตามโลกหรือต้านโลกก็แล้วแต่คุณ ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข ที่ผ่านมาผมทำให้คนอื่นมีความสุขมาเยอะแล้ว 3-4 ปีที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงที่ผมมีความสุขมาก เพราะทีมงานในบริษัทไม่อยากให้ผมทำงานมาก มีคนรุ่นใหม่มาบริหารจัดการ ผมจึงได้ทำงานด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อก่อนผมทำงานเยอะ เพื่อสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แต่ตอนนี้ทุกอย่างดีแล้ว


เคยถ่ายภาพสงครามไหม


ผมเป็นคนขี้กลัว ปฏิเสธความรุนแรง เพราะผมมีปมบางอย่าง ผมกลัวเสียงปืน ผมเคยเห็นคนทะเลาะกัน แทงกัน งานแสดงนิทรรศการครั้งล่าสุด Bang Bang (you’re dead) รวบรวมจากมุมมองที่เห็นถึงความรุนแรงในสังคมไทย เพื่อสะท้อนชีวิตในวัยเด็กๆ ในภาพถ่ายที่มักเล่นยิงปืนพลาสติกกับเพื่อนหรือพี่น้องในครอบครัว


มีความรุนแรงในหลายๆ วัฒนธรรม นิทรรศการชุดนี้เพราะมีคนเอารูปที่อเมริกาใต้มาให้ดู มันกระแทกใจ และผมคิดว่าจะเดินทางไปอเมริกาใต้ ผมคิดว่า ความรุนแรงไม่ได้สร้างสิ่งใหม่เลย นอกจากความย่อยยับ งานนิทรรศการชุดนี้เป็นตัวแทนบางอย่าง ถ้าเราสนับสนุนความรุนแรงเมื่อไหร่ เราไม่ได้สร้างสิ่งที่ดีขึ้นมาเลย นอกจากทำให้ผู้คนล้มตาย


คุณมีวิธีการถ่ายภาพอย่างไร


ถ้าผมสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมถึงจะยกกล้องขึ้นถ่าย ผมไม่ถ่ายพร่ำเพรื่อ ก่อนอื่นผมต้องเล่าย้อนว่า สมัยที่ผมอายุ 26 -27 ปี ผมเฝ้าสังเกตผู้คน สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นส่งผลดีในตอนนี้ เวลาผมถ่ายภาพ ผมจะรู้สึกเองว่า นี่แหละ...ใช่ สิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่อยากเรียกตัวเองว่า ช่างภาพ ผมเรียกตัวเองว่า ผู้แสดงความคิด กล้องนำพาเราไป เพื่อบอกสิ่งที่ผมเห็นในเชิงความคิด การถ่ายภาพเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม คุณต้องแสวงหาด้วยตัวเอง การถ่ายภาพจึงอยู่ที่วิธีคิดของคนคนนั้น


ก่อนจะถ่ายภาพ คุณคิดเยอะไหม


ไม่เยอะ อยู่ที่ว่าเรามีความคิดเห็นกับสิ่งที่เราทำอยู่ ผมต้องไวและเร็ว ถ้าไม่ใช่ ผมจะไม่ฝืน


เน้นการถ่ายภาพชีวิตและสารคดีเป็นหลัก ?


ไม่สำคัญว่าเป็นอะไร ผมใช้ชีวิตตามแบบกระแสน้ำ เมื่อน้ำกระทบหิน ผมก็หยุดนิดหนึ่ง รู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่กำหนดแนวทาง ถ้ากำหนดก็จะบีบคั้นตัวเองมากไป การถ่ายภาพชีวิตและสารคดี มันเป็นงานที่เติมเต็มให้ชีวิตผม ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมมีประโยชน์ ผมไม่ได้จัดนิทรรศการบ่อยมาก ปีละประมาณ 1-2 ครั้ง ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องรางวัลในการถ่ายภาพ รางวัลสำหรับผม คือ รูปที่ผมประทับใจ ผมสามารถเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ว่า ช่วงเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง


คุณชอบที่จะเดินทางคนเดียวมากกว่าทำงานเป็นทีม?


ถ้าเดินทางเป็นกลุ่ม ผมจะขอแยกตัวไปถ่ายภาพเอง ถ้าไปหลายคนจะมีการแข่งขัน สิ่งที่ถ่ายออกมาจึงไม่ใช่สิ่งที่จริงสำหรับผม เวลาผมถ่ายรูป ผมจะถ่ายในมิติของตัวเอง


คุณได้สอนการถ่ายภาพบ้างไหม


ผมไม่ได้สอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถ้ามาขอความรู้เป็นกลุ่มเล็กๆ ผมคุยได้ ผมรู้สึกน้อยใจระบบการศึกษาในประเทศนี้ 4 ปีในระบบมหาวิทยาลัย นักศึกษาได้เรียนรู้อะไรบ้าง ได้คะแนน แต่ปฏิบัติการไม่ได้เลย ต่างจากในประเทศพัฒนาแล้ว จะมีการฝึกงาน การปฏิบัติในชีวิตจริง เมืองไทยเน้นให้เด็กเรียนเยอะๆ


โครงการถ่ายภาพคนดังในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถ่ายไปได้แค่ไหนแล้ว


ผมเน้นถ่ายรูปคนมีชื่อเสียงในสวิตเซอร์แลนด์ เป็นศิลปิน ดีไซเนอร์ คนทั่วไปบ้าง มีเอเย่นติดต่อให้และสนับสนุนเรื่องนี้ ผมไปสวิสมาสามครั้ง ก่อนเดินทาง เอเย่นต้องติดต่อศิลปินให้ได้ก่อน แต่ละครั้งผมจะไปอยู่เป็นเดือน ผมทำงานได้ง่ายในการถ่ายภาพศิลปิน เพราะผมชอบสังเกตผู้คน ต้องเข้าใจตัวตนของเขา ผมคุ้นเคยกับวัฒนธรรมหลายชาติตั้งแต่ช่วงอายุ 27 ปี งานนี้ผมใช้อุปกรณ์น้อยมาก ปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว เราต้องเข้าใจเส้นชีวิตของเขา ไม่ใช่แค่การจับอารมณ์ ต้องสังเกตการดำเนินชีวิต และคนทำงานศิลปะไม่ใช่ว่าจะยอมรับใครง่ายๆ


การเข้าถึงคนดัง ไม่ใช่เรื่องง่าย มีบางอย่างที่ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึงผู้คน อย่างเจ้าของโรงงานช็อกโกแลต นักร้องดังๆ เราเข้ากันได้ดี ผมมีความสุข ตอนผมกลับไปเยี่ยมพวกเขา นักร้องโอเปร่าที่ผมถ่ายรูปให้ ซึ่งเข้าถึงยากมาก แต่เวลาเจอผม เขาหอมแก้มและเชิญไปทานข้าวที่บ้าน งานเปิดตัวการแสดงครั้งใหม่ ของนักร้องโอเปร่าคนนี้ La Lupa ก็เชิญผมไปชมด้วย ถ้าถ่ายภาพโครงการนี้เสร็จ รูปภาพเหล่านี้จะพิมพ์ในเมืองนอก แต่ผมยังทำงานไม่เสร็จ




โดย: เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ / 23 เมษายน 2554

Views: 6279

Reply to This

Replies to This Discussion

เมื่อต้นปีที่แล้วได้มีโอกาสพบคุณชำนิ เป็นครั้งแรก ในงานPhoto Shooting ของคนดังระดับโลก Valentino Rossi และ Jorge Lorenzo สองนักแข่งมอเตอร์ไซด์ MotoGp ได้เห็นความเป็นมืออาชีพที่ทำให้การถ่ายภาพวันนั้นเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความประทับใจให้กับทุกคน สมชื่อมืออาชีพ Chamni's eye คนหลังกล้องระดับอินเตอร์

RSS

© 2009-2025   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service