อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขามาไกลถึงขนาดนี้ ความรู้คอร์สสั้นๆ ที่ได้รับจากการอบรม? วรนันทน์ส่ายหัว นั่นแค่พื้นฐาน แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ขยัน ฝึกฝน อดทน และจดจำ
“เทคนิคต่างๆ เรียนรู้จากประสบการณ์เอาครับ คือถ่ายรูปทุกครั้งจะต้องบันทึกรายละเอียด เช่น ความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง สภาพแสง คราวหลังไปถ่ายจะได้แก้ไข และจะได้จำอยู่ในสมอง-ไม่ลืม
“การที่ได้เห็นภาพเยอะก็สำคัญ ถ้าคุณมองแต่ในประเทศ คุณจะไม่ได้เห็นว่าทั่วโลกเขาถ่ายแนวไหนหรือไปกันถึงไหนแล้ว ปีๆ หนึ่งผมได้แค็ตตาล็อกร้อยกว่าเล่ม” วรนันทน์หมายถึงหนังสือรวมภาพถ่ายที่ได้จากการสมัครส่งภาพเข้าประกวดในเวทีต่างๆ “ผมก็จะได้เห็นแนวทาง ไอเดีย มุมกล้อง แล้วนำมาดัดแปลงหรือมาแก้ไขเป็นมุมที่เราชอบ” แม้ส่งประกวดไม่ได้รางวัล แต่แค่ได้ดูภาพจากแค็ตตาล็อกก็คุ้มแล้ว วรนันทน์พูดไว้ตอนหนึ่งระหว่างสนทนา
จากประสบการณ์ท่องเที่ยวไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่เขาบอกว่าน่าจะไปเหยียบมาแล้วทุกจังหวัด และฟิล์มเป็นหมื่นๆ ม้วนที่เคยถ่าย ทำให้วรนันทน์รู้จักเหลี่ยมมุมของแสงในแต่ละแห่งพอๆ กับนกรู้จักฟ้า
“แต่ละจุดเรารู้หมดว่าควรจะไปตอนไหน ต้องรู้บรรยากาศ รู้มุม คือลักษณะการถ่ายของผมจะเป็นแนวแสงธรรมชาติ ใช้แฟลชน้อยมาก ใช้ขาตั้งอย่างเดียว มันทำให้เราต้องเรียนรู้ว่าแสงจะมาจากด้านไหน และควรถ่ายอย่างไร”
ตลอดหลายสิบปีที่สายตามองผ่านเลนส์และนิ้วชี้ประทับที่ชัตเตอร์ วรนันทน์เห็นหลายสิ่งดีๆ ในบ้านเมืองเราที่ล้มหายตายจาก
“ลักษณะภูมิทัศน์บ้านเราเปลี่ยนไปเยอะ เพราะความเจริญผ่านเข้ามา อย่างเกาะพีพี สมัยก่อนขึ้นไปถ่ายบนภูเขา มองไปเห็นแต่ต้นมะพร้าว ตอนนี้มีบังกะโลเยอะไปหมด
“ตามวัดวาอารามก็เปลี่ยน บางวัดไปแล้วภาพวัดฝาผนังเก่าๆ เจอพวกผู้รับเหมาที่ทำแบบสุกเอาเผากินก็มีการทาทับไปเลย หรือไม่ก็มีปิดทองพระพุทธรูปใหม่ เจียใหม่ หน้าตาก็เปลี่ยน คือสิ่งที่คนโบราณเขาทำมาสุดยอดแล้วเราก็มาเปลี่ยนแปลง ผมรู้สึกว่าส่วนใหญ่คนไม่รู้ว่าทำไมต้องรักษาความเก่าบ้าง” น้ำเสียงของเขามีแววตัดพ้อ
ทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง วรนันทน์ที่ปัจจุบันอายุ 57 เข้าใจดี เห็นได้จากการไม่ยึดติดกับการถ่ายฟิล์มในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิตอล “อะไรจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน เราต้องเรียนรู้ตามให้ทัน” แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์แล้ว เขาคิดว่าอย่างน้อยคนรุ่นลูกรุ่นหลานเราก็ควรจะได้เห็นบ้าง
“ผมคิดว่าผมจะเก็บประวัติศาสตร์ของบ้านเราไว้ คือสิ่งที่ค่อยๆ เลือนหายไปน่ะ อย่างเช่นสิ่งของเครื่องใช้ โบราณสถาน วิถีชีวิต อะไรต่างๆ เนี่ย เหมือนอย่างผมทำหนังสือพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเล่มนี้” เขาหยิบหนังสือที่ภายในบรรจุภาพและข้อมูลประวัติศาสตร์ของพระพุทธรูปตามวัดต่างๆ ในประเทศไทยให้ดู
“ถ้าหากเราไม่เก็บบันทึกไว้ มันจะไม่มีโอกาสให้คนรุ่นต่อมาอีกห้าสิบปี อีกร้อยปี รู้ว่าตอนนั้นประวัติศาสตร์ชาติไทยมันเป็นยังไง...” วรนันทน์หยุดเว้นจังหวะ ก่อนจะส่งผ่านปณิธานที่เขายึดมั่นจะทำไปจนตราบสิ้นลมหายใจสู่ช่างภาพรุ่นต่อไป “อยากเชิญชวนให้นักถ่ายภาพ นอกจากเรามีความสุขที่ได้ถ่ายภาพ อยากจะให้ช่วยเก็บประวัติศาสตร์ชาติไทยไว้ไม่ให้เลือนหายไป”
คุณมองวงการช่างภาพในปัจจุบันอย่างไร? ---เชื่อว่าหลายคนคงอยากฟังคำตอบของคำถามนี้จากเขา
“ผมคิดว่าบ้านเราช่างภาพดีๆ เก่งๆ เยอะ แต่ไม่รู้วิธีนำเสนอในการโปรโมตตัวเอง หรือไม่ก็ไม่มีงบในการแสดงภาพ ขาดผู้สนับสนุน บางคนก็ต้องใช้ทุนตัวเอง ยิ่งไปขอแสดงภาพกับหน่วยงานราชการถ้าไม่มีเส้นสายนี่ยากมาก ทำให้ไม่มีโอกาสได้เผยแพร่งานดีๆ” วรนันทน์แนะนำว่าทุกปีหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องควรจะตั้งงบสนับสนุนศิลปิน ให้ศิลปินนำงานมาเสนอ โดยมีกรรมการคอยตัดสิน ถ้างานดี ก็จัดแสดงงานพร้อมทำสูจิบัตรและประชาสัมพันธ์ให้
อืม... ความคิดเข้าท่า ว่าแต่ตั้งแต่ได้เป็นศิลปินแห่งชาติ หน่วยงานรัฐเคยมาขอคำปรึกษาคุณบ้างไหม?
“ตอนยังไม่ได้ก็ไม่มีใครฟัง แต่พอเราได้เขาก็ไม่กล้ามาให้เราแนะนำ เพราะกลัวเราด่า” หลังคำตอบ วรนันทน์หัวเราะหึๆ
หมายเหตุ - ชมผลงานของศิลปินแห่งชาติท่านนี้ได้ที่ www.hobby555.com
Tags:
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by