ในวันที่ผมตัดสินใจลาออก...

จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนที่ตัวผมเองเริ่มต้นชีวิตการทำงานตอนนั้นผมได้คิดหรือไม่ว่าชีวิตการทำงานของผม ณ ที่แห่งนี้จะจบลงเมื่อไหร่หรืออย่างไร?...

นับตั้งแต่วันนั้นถึงปัจจุบันก็เป็นเวลานานกว่า 7 ปีแล้วที่ผมทำงานอยู่กับที่แห่งนี้ ซึ่งว่ากันตามตรงว่าผมจำไม่ได้หมดหรอกว่าผมได้ผ่านช่วงเวลา 7 ปีนี้มาอย่างไรบ้าง เท่าที่จำได้ก็คือเข้ามาแรกๆ ก็ก้มหน้าก้มตาตรวจบัญชีหงกๆ ตามหัวหน้าไป เค้ามากี่โมงก็มาให้ทัน ทำงานเรื่อยๆ รอจนเค้าเรียกกลับบ้านก็กลับกัน ปีแรกๆ จะตรวจบัญชีอยู่ที่โรงงานอย่างเดียวเลย ทำตั้งแต่เก้าโมงเช้ายันห้าทุ่ม

แรกๆ ที่บ้านก็ถามบ่อยๆ ว่า "วันนี้จะกลับกี่โมง?" หรือ "จะให้รอทานข้าวด้วยกันไหม?" ซึ่งผมก็ตอบปฏิเสธทุกครั้งด้วยความที่ติดหน้าที่การงานอยู่ จนในที่สุดช่วงหลังที่บ้านก็เลิกถามแล้วเพราะเริ่มเข้าใจ Nature การทำงานของผม หลังจากนั้นการดำเนินชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป จากสังคมครอบครัวก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นสังคมการทำงาน จากหน้าพ่อแม่ น้องชายและน้องสาวที่เห็นทุกวันตอนเย็นและก่อนเข้านอนและทุกเช้าเมื่อตื่นนอนก็กลายเป็นเห็นหน้าเพื่อนร่วมงานมากกว่าพ่อแม่ ยิ่งเวลาผ่านไปหนึ่งปีหรือสองปีมันเหมือนยิ่งถลำลึก ภาพที่เห็นจนชินตานับวันยิ่งเลือนลง เลือนลงจนกลายเป็นความปกติของชีวิตไป... ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

หากจะถามว่าผมมีความสุขกับชีวิตการทำงานไหม ก็ขอตอบตามตรงเลยว่ามีความสุขดี... การทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีมันทำให้ผมได้พบเห็นกับหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่ไม่เคยคาดคิดเหมือนกันว่าถ้าผมทำงานเป็นคนดูแลกิจการที่บ้านจะมีสิทธิได้พบได้เห็นไหม...

"จะมีไหมโอกาสที่ผมจะได้ไปเดินอยู่ในโรงงานที่เต็มไปด้วยเหล็กขนาดยักษ์ที่อาจหล่นลงมาทับผมเมื่อไหร่ก็ได้?"

"จะมีไหมโอกาสที่ผมจะได้ไปยืนอยู่บนกองสารเคมีขาวๆ เหมือนแป้งที่สูงท่วมหัวจนเหมือนกับว่าเราเป็นมดตัวหนึ่งในกระสอบข้าวสาร?"

"จะมีไหมโอกาสที่ผมจะได้ไปนับสต็อกบนพื้นที่กันดารอย่างเชิงเขา ที่ซึ่งไม่คิดว่าจะมีโรงงานขนาดเล็กๆ ที่มีคนทำงานอยู่ไม่ถึงยี่สิบคนทำงานอยู่?"

"จะมีไหมโอกาสที่จะได้เป็นเดินทัวร์โรงงานผลิตยาสีฟันที่เต็มไปด้วยกลิ่นมินท์ชนิดที่เดินออกมาจากโรงงานแล้วตัวหอมไปทั้งวัน?"

ในขณะเดียวกัน "จะมีไหมโอกาสที่ผมจะได้ล่องใต้ไปนับยางพาราจนได้รับรู้ว่ายางมันมีกลิ่นเหม็นมากชนิดที่ต้องซักเสื้อที่ใส่ไปถึงสองครั้งกลิ่นที่ติดเสื้อถึงจะหายไป?"

หรือ "จะมีไหมโอกาสที่ได้เดินนับสต็อกใน Makro Office ชนิดวันชนวัน?" (ตรงนี้ผมกล้าโม้อย่างไม่มียางอายเลยว่ามันคือการเดินเล่นในร้านขายเครื่องเขียนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผม)

และที่ผมลืมไม่ได้คือผมคงไม่มีโอกาสได้พบกับคนที่ผมรักและคาดหวังจะร่วมชีวิตกับเค้าในสถานที่ทำงานแห่งนี้...

ที่ยกตัวอย่างนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตการทำงานของผมซึ่งมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีปะปนกันอยู่เต็มไปหมด ซ้อนทับกันอยู่จนไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร ซึึ่งผมเองก็เชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็นเหมือนกัน...

เพราะเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคนหลายคนมันเยอะมากจนถึงจะอยากเล่าให้คนอื่นฟังอย่างไรก็ไม่สามารถเล่าได้หมด ทำได้แค่เพียงเก็บไว้เป็นเรื่องของเราที่คนอื่นใดในโลกก็ไม่สามารถร่วมแชร์กับเราได้ การนึกถึงเรื่องในอดีตบางเรื่องที่ดีอาจทำให้เรายิ้มได้ เพียงแต่เราไม่สามารถบอกให้คนอื่นร่วมรู้สึกยินดีพร้อมไปกับเราได้และนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำ ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมจะได้เซฟและอาร์ไคฟสิ่งที่่เรียกว่าความทรงจำของผมเข้าไปยังไดรฟ์ดีซึ่งแฝงลึกอยู่ในรอยหยักสมองโดยผมตั้งชื่อโฟลเดอร์ว่า "ความทรงจำแห่งชีวิตการทำงาน (Part 1)"...

ผมเองยังรู้สึกดีกับหน้าที่การงานในปัจจุบันอยู่ แต่ชีวิตคนเราในบางครั้งมันก็ไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่ทุกคนวางแผนไว้ และบางครั้งมันก็ออกมาในรูปแบบที่เราเองก็คาดไม่ถึงชนิดที่ว่าวันดีคืนดีตื่นมาตอนเช้าก็พบว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งหรือตื่นมาแล้วพบว่าเรื่องมากมายล้านแปดที่ผ่านชีวิตเรามามันเป็นแค่เพียงฝันข้ามคืน ซึ่งผมก็ขอสรุปว่าเคสของผมมันก็ออกมาคล้ายๆ กัน คือทำงานอยู่ดีๆ แล้ววันนึงก็ฉีกตัวเองออกมาจากเส้นทางที่เราเดินอยู่ซะอย่างงั้น จะให้เดินต่อไปก็เดินได้ แต่ไม่รู้ทำไมขามันปฏิเสธที่จะก้าวต่อ แต่กลับเบี่ยงไปเดินเลนคู่ขนานแทน ตรงจุดนี้หลายๆ คนบอกว่ามันคือความเบื่อซึ่ง ณ ตอนนี้ผมยังไม่ได้ตอบตัวเองว่ามันใช่หรือไม่ แต่ที่รู้คือตอนนี้ขาผมก้าวข้ามเลนออกมาแล้วและกำลังเตรียมที่จะวิ่งไปในเลนคู่ขนานโดยที่ยังไม่รู้ว่าปลายทางของเส้นคู่ขนานนั้นคืออะไร

สิ่งที่ผมกำลังจะพบในอนาคต คืออนาคตที่ผมไม่ได้จินตนาการไว้ มันเหมือนการกระชากตัวเองออกจาก Comfort zone แบบหักดิบซึ่งมันอาจจะเป็นความคิดที่ดีหรือแย่ก็เป็นได้ และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครอบครัวผมรู้สึกอย่างไรกับการที่ผมลาออกเช่นนี้เพราะความห่างเหินจนรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับครอบครัวแบบเปิดใจเหมือนเมื่อก่อน

สิ่งที่ผมคิดว่าจะทำหลังจากการลาออกของผมก็คือการนำชีวิตแบบเดิมๆ ที่ผมคิดถึงนักหนากลับคืนมา ผมห่างหายจากมันไปเจ็ดปีแล้วและอยากได้มันกลับมาเร็วๆ ผมอยากกลับไปนั่งอยู่บ้านกับแม่และครอบครัวเหมือนวันเวลาเก่าๆ สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ ถึงแม้ว่าอาจต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักก็ตาม

ผมไม่ได้คาดหวังกะเกณฑ์ว่าอนาคตต้องเป็นเศรษฐีสิบล้าน (หลักสิบล้านพอ ร้อยล้านเว่อร์ไป) ต้องมีรถสองคัน ต้องมีบ้านสองหลังถึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ ตอนนี้ผมยังไม่อยากตั้งกรอบให้ตัวเองเพราะมันเพิ่งฉีกออกจากกรอบมาหมาดๆ ผมขอสะสางตัวเองให้เรียบร้อยก่อน กลับไปมีเวลาว่างๆ ได้ทำสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองอยากทำนักหนาแต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากถูกเวลางานมาเบียดเบียน ผมอยากนั่งวาดรูป ผมอยากเพ้นท์ตุ๊กตาเพื่อเอาไปขายทางอีเบย์ ผมอยากช่วยที่บ้านทำงานบ้าน ขับรถเข้าเยาวราชไปทำธุระให้ที่บ้าน ผมอยากนั่งอยู่หน้าร้านพร้อมพ่อและแม่ ตั้งแต่ผมทำงานและแยกออกมาอยู่คนเดียวนั้นไม่มีสักครั้งเลยที่พ่อแม่พี่น้องมานั่งเล่นในห้องรับแขกบ้านผม ผมอยากคุยกับพ่อแม่ว่าช่วงที่ผ่านมาผมไปทำอะไรมาบ้าง ผมอยากทำอาหารให้แม่กินตอนเที่ยงเหมือนเมื่อก่อน มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมอยากทำและผมรู้ดีว่าบางอย่างมันดูงี่เง่าจนไม่สามารถบอกให้คนอื่นฟังได้ แต่นั่นก็คือสิ่งที่ผมจะทำทั้งหมดเพื่อเอาสิ่งที่ขาดหายไปกลับคืนมาอยู่กับตัวซักพักหลังจากนั้นค่อยคิดใหม่ว่าอะไรคือกรอบในอนาคตของผม...

อย่างที่ผมพูดไว้กลางๆ บทความนี้ ความทรงจำเป็นสิ่งที่แชร์ไม่ได้และความรู้สึกก็เช่นกัน ผมคงทำให้ท่านผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมแบบเดียวกับผมไม่ได้เพราะผมไม่ใช่นักเขียนที่ดีพอ ผมเพียงแค่หวังว่าการที่คนเราได้เขียน blog และได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้รับฟังเป็นเรื่องที่ดีและช่วยให้เราสบายใจขึ้นได้ ดังนั้นผมขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากหากท่านยอมทนอ่านมาจนจบ entry นี้นะครับ ^^

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกันถ้วนหน้าครับ

it's me... commonblack

Views: 634

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

Comment by Common Black on October 25, 2010 at 11:27pm
เข้าใจว่าทุกคนมีเหตุผลส่วนตัว แต่ก็อยากบอกว่าคิดให้รอบคอบก่อนนะครับ ลองคิดว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่เกิดมาแป๊บๆ แล้วก็ดับไปหรือเปล่า เพราะสำหรับบางคนถึงเค้าจะไม่ชอบงานที่ทำอยู่แต่เค้าก็ต้องสู้เพราะมีภาระหลายอย่างที่ต้องดูแล แต่ถ้ามันคือสิ่งที่ไม่ใช่จริงๆ ก็อย่าไปเสียเวลากับมันครับ... เมื่อวันก่อนผมเพิ่งเข้าไปเก็บของใช้ส่วนตัวเอง ยอมรับว่าใจหายและมีชั่ววูบหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่น่าลาออกเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นเพราะว่าความผูกพันเก่าๆ ครับ ชีวิตคนเรามันต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าพอใจกับที่ไหนก็หยุดพัก ถ้ามันใช้บ้านของเราจริงก็อยู่กับมันไป แต่ถ้ายังอยู่ไม่สบายก็เดินต่อครับ แต่อย่าลืมว่าก่อนออกเดินทางต่อก็คิดเผื่อไว้ด้วยนะครับ ว่าคราวนี้จะเดินไปไหนดี... ^^
Comment by shutzky on October 25, 2010 at 11:05pm
ตอนนี้ผมก็รู้สึกคล้ายๆกับคุณครับ รู้สึกว่างานที่ทำอยู๋มันไม่ใช่ที่ของเรามันไม่มีใครต้องการเราเหมือนบ้านหลังนึง(บริษัท)ที่ไม่ต้องการยาม(นักออกแบบ)อย่างผมเพราะที่นี่มีกล้องวงจรปิดและสัญญาณกันขโมย(เอเจนซี่)อยู่แล้ว กัลงอยู๋ในช่วงที่ตักสินใจอยู่ครับว่าจะทำไงต่อดีจะถอยหรือทนดี
Comment by Common Black on October 25, 2010 at 9:56pm
ขอบคุณสำหรับ comment ครับ และเช่นเคย... ยินดีอีกเช่นกันที่ได้มีโอกาสแชร์ประสบการณ์ครับ...
Comment by Bonus on October 25, 2010 at 9:52pm
^v^ ขอให้ได้ทำให้สิ่งที่อยากทำดั่งที่ตั้งใจไว้นะคะ ถึงแม้จะเสียเวลาที่มีค่าไปยาวนาน
แต่ตอนนี้ก็ได้โอกาสอีกครั้ง ขอให้สำเร็จดั่งที่ตั้งใจค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณนะคะที่ได้ทำให้มองเห็นมุมมองของการดำเนินชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งค่ะ
Comment by Common Black on October 24, 2010 at 8:07pm
ยินดีครับ ขอแค่ให้ผมได้โอกาสใช้ที่เล็กๆ อย่าง blog นี้เป็นที่ที่ให้ทุกท่านได้รับฟังและได้มีโอกาสพูดในสิ่งที่ตนเองอยากพูด แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกนี้มีความหมายมากขึ้นครับ...

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service