คำคม ธรรมนำเทรนด์


คัดข้อความดี ๆ คม ๆ จากหนังสือเล่มนี้มาให้ลองอ่าน
 
ลองคิดตามกัน เรื่องที่ท่าน วอ พูด ล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้งสิ้น 
 
คนทั่วไปที่มองคนที่หันมาสนใจธรรมมะมักจะต้องทำตัวดังนี้ 1 เรียบง่าย 2ธรรมดา 3แต่งตัวดร้อปลงมา
4ค่อนไปทางจน 5เชย เรื่อยไปจนถึงเฉื่อยเเฉะไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร คนทั่วไปมักจะคิดว่าต้องเป็นเเบบนี้ถึงจะ
เรียกว่าปล่อยวางได้ แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเบบนี้เสมอไป
 
แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่าการปฎิบัติธรรมจะต้องนุ่งเจียมห่มเจียมหรือจะต้องให้เราทำตัวยากจนข้นแค้น
หรือจะต้องให้เราสูงสุดคืนสูสามัญทั้งสิ้น 
 
ถ้าต้องมานั้งเกรงใจคนทั้งโลก ถามหนอยสิ ว่าคนทั้งโลกเค้าเกรงใจเราไม้
 
ถ้าเราทำให้คนทั้งโลกสมหวังแล้วผิดหวังกับตัวเอง มันก้เป็นเรื่องที่สูญเปล่า 
 
ถ้าเราชัดเจนในตัวของเราเอง ฝีมือของเราไม่เป็นสองรองใคร เราก้ควรขายความชัดเจน ไม่ใช่ขายศักดิ์ศรี
ของเราให้กับคนทั้งโลก เพื่อให้เราได้มีที่อยู่ที่ยืนในวงสังคมที่เต็มไปด้วยความทุเรศทุรัง
 
นักปราชญ์ยอมรับหนึ่งคนยังดีกว่าพาลชนทั้งเเสนล้านยอมรับ
 
ชีวิตที่เรียบง่ายมีเวลาเป็นของตัวเองได้ทำงานที่เรารัก และฝากสิ่งที่มีสาระประโยชน์ไว้กับชาวโลกบ้างก้พอแล้ว
 
ถ้าอยากมีชีวิตที่มีความสุข เราต้องถามตัวเองว่า สิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็นนั้นคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง
 
ทุกวันนี้ทีวีไม่ได้เอาคนดูเป็นตัวตั้ง แต่เค้าเอาสปอนเซอร์เป็นตัวตั้ง เราถึงได้ดูรายการที่ถูกใจสปอนเซอร์
แต่ทำให้สติปัญญาของประชาชนอ่อนแอลง
 
ทุกวันนี้เรายังไม่ค่อยมีนักการเมืองที่แท้จริงเท่าไร เรามีแต่นักธุรกิจที่เข้ามาเล่นการเมือง เพราะนักการเมืองที่แท้จริงเค้าจะนึกถึงคนรุ่นต่อไป แต่ทุกวันนี้นักการเมืองคิดกันแค่โครงการต่อไปเท่านั้นเอง
 
ถ้ารู้จักคิด และคิดให้ดีแล้ว ทุกคนก้จะรู้เองว่าคนที่ใช้เงินแลกกับโอกาศทางการเมือง ไม่ใช่คนที่มุ่งหวังจะสร้างผลประโยชน์เพื่อส่วนรวม
 
ความจริงแล้วนักการเมืองเป็นบุคคลที่ต้องมีมาตฐานทางจริยธรรมสูงกว่าประชาชนทั่วไป แต่เวลานี้ในเมืองไทยของเรานั้นกลายเป็นว่านักการเมืองมีมาตราฐานทางจริยธรรมตำ่เตี้ยเรี่ยดินยิ่งกว่าประชาชนเป็นร้อยเท่า ทำไมบ้านเมืองจะไม่วิปริตเล่า เมื่อมีคนเช่นนี้มาอยู่ในแววงการเมือง
 
ใครที่ละเมิดกฎหมายได้จะกลายเป็นคนมีอภิสิทธิ์ เป็นคนที่ดูเท่มาก แต่ในอเมริกาหรือในยุโรป ใครละเมิดกฎหมายถือว่าด้อยการศึกษา
 
เด็กที่ได้รับการศึกษาที่แน่นไปด้วยข้อมูล ที่ไม่มีความรู้สึกไม่มีจิตสำนึก ไม่มีสุนทรียภาพ ไม่มีจินตนาการ และหนักที่สุดคือไม่มีความรู้สึกรู้สาต่อความทุกข์ร้อนทางสังคม เด้กไทยไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับปัญหาทางการเมือง
กับปัญหาคอรัปชั่น พวกเขารู้จักแต่แต่บีบีหากันอย่างเดียว
 
ทุกวันนี้พ่อเเม่ของเด็กไทยส่งลูกเรียนหนังสือก็เพื่อจะให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการศึกษาที่เทียมหน้าเทียมตาคนอื่น ไป ๆมา ๆ ก็เป็นการศึกษาเพื่อสนองอัตตานิยมของพ่อแม่เท่านั้น ไม่ได้สนองเรื่องการพัฒนาเด็ก เวลาเข้าสังคมพ่อเเม่จะได้คุยกันว่าลูกชั้นเรียนโรงเรียนนี้ พ่อแม่พยายามยัดเยียดใหู้กเรียนเยอะที่สุด เพื่อเวลาเข้าสังคมจะได้มีเรื่องคุยอย่างเทียมบ่าเทียมไหล่ ผลก้คือเด็กรับเคราะห์ไป หน้าเศร้า
 
คำว่าใคร ๆเค้าก้ทำกัน เอาไว้ใช้สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรเลย คนที่เป็นตัวของตัวเองชัดเจนเขาไม่พูดประโยคนี้หรอก เขาจะพูดว่าทำไมชั้นจะทำไม่ได้ละ 
 
ทุกวันนี้เวลาถามเยาวชนว่าโตขิ้นอยากเป็นอะไร หลายคนตอบไม่ได้ด้วยซำ้ เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัยก้เลือกเรียนตาม ๆเค้าไป เพราะไม่รู้เป็าหมายในชีวิตต้องการอะไรกันแน่ 
 
คนไทยไม่ค่อยสนใจเรื่องการค้นพบตัวเองมากเท่าไร การศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อให้คนไทยทำอะไรไปตามฝูง ไม่ใช่ระบบการศึกษาที่กระตุ้นให้คนไทยค้นพบอัจฉริยภาพ
 
การศึกษาของเราถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับคนเป็นโหล เก่งก้ต้องเรียนแบบนี้ โง่ก้ต้องเรียนแบบนี้ แล้วใครที่เกิดแสดงอัจฉริยภาพทอประกายขิ้นมาเป็นพิเศษ ครูก้จะเห้นว่าเป็นเด็กที่มีปัญหา
 
ตามเค้าเเล้วเก่ง คิดเองเราโง่ 
 
เราถูกกระตุ้นให้วิ่งตามคนอื่นไป ให้ชื่นชมคนอื่น ยกเว้นชื่นชมตนเอง แต่ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เลยว่า เพื่อเอ๋ย เธอก้เอาดีได้ ใยจึงมาดูถูกตัวเองเสียเล่า
 
คนจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่าปริญญากับปัญญาเป็นเรื่องเดียวกัน ทุกวันนี้เรามีบัณฑิตมากมายที่ไม่รู้จักใช้ปัญญาอย่างแท้จริง เขาเพียงแต่ทำตามอย่างที่คนส่วนใหญ่เค้าทำกัน
 
ทุกวันนี้คนอยากเป็นซัมบอดี้เพียงเพราะอยากสนองปมบางปมปมอีโก้ ปมอัตตาปมอยากได้รับการยอมรับ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าปมภวตัณหา อยากเป็นั้นอยากเป็นนี่ ในทางพุทธศาสนาท่านบอกว่า อย่าไปอยากเป็นนั้นอยากเป้นนี่ แต่ให้อยากทำนั้นอยากทำนี่ ทำเหตุให้มาก ปล่อยวางในผล หมายความว่าท่าทำเหตุให้ดีแล้ว ผลที่ดีจะไหลมาหาเอง
 
 
คนไทยเรานั้นไม่ค่อยจะคิดเองในเชิงวิเคราะห์ แต่จะชอบสะเดาะเคราะห์กันเสียมากกว่า
 
ศรัทธาเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล เราจะศรัทธา อะไรก้แล้วแต่เป็นเรื่องที่บังคับใจกันไม่ได้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่บังคับให้ศรัทธา ไม่เชื่อเป็นสิทธส่วนบุคคล ดังนั้นในทางพุทธศาสนาเรื่องศรัทธาจึงเป็นเรื่องที่ปัจเจกบุคคลเลือกเชื่อและเลือกปฎิบัติกันตามวิจารณญาณของตนเอง 
 
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนดั่งฝน แล้วคนเราก็มีทั้งแก้วควำ่และแก้วหงาย 
 
ถ้าเรามีสติปัญญาขั้นบัวพ้นนำ้แล้ว เราก้จะเลยพิธีรีตองและสิ่งสมมุติต่าง ๆ ทั้งปวงไป ความเชื่อมั่นในเรื่องเครื่องรางของขลังจะหมดไป เราจะเป็นบุคคลประเภทไร้รูปแบบ เราจะเป็นปัญญาชนพิธีรีตรองต่าง ๆ นั้นบางครั้งเขาก้ใช้ บางครั้งเขาก้ไม่ใช้ ตามสภาพแวดล้อมและความเหมาะความควร เมื่ออยู่ในบางที่บางแห่งที่เขาเชื่อว่าเรื่องสมมุติเรื่องหัวโขนต่าง ๆ เราก้แอกติ้งให้คนอื่นเห็นไปว่าเราก้รับได้ 
 
สังคมไทยเป็นสังคมที่ใช้ศรัทธามากกว่าปัญญา ศรัทธามีสองอย่าง 1ศรัทธาประกอบด้วยปัญญา หรือศรัทธาที่เกิดจากการใช้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง เป็นศรัทธาที่เเท้และมั่นคง 2ศรัทธาที่ไม่ประกอบกันด้วยปัญญาเป็นศรัทธาที่ทำตาม ๆกันมา จากการเชื่อต่อ ๆกันมา เป็นศรัทธาที่ไม่พึงประสงค์ คนเราส่วนใหญ่ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาหรืออะไรก้แล้วเเต่ โดยมากศรัทธาในลักษณะที่สอง คือศรัทธาโดยไม่ถาหาปัญญา ศรัทธาโดยไม่พิจรณาให้ถี่ถ้วน เขาจะศรัทธาอะไรก็เเห่ตามไปอย่างงั้น 
 
พระพุทธศาสนานั้นดีมากในเเง่เนื้อหาสาระ แต่ที่ไม่ดีคือการสื่อสารกับคนส่วนใหญ่ พุทะเป็นศาสนาที่เน้นให้พึ่งตนเอง แต่พุทธที่เราพบในเมืองไทยกลับเน้นให้พึ่งเทพ พุทธเป็นศาสนาให้ใช้สติปัญญา แต่พุทธที่เราพบในเมืองไทยกลับเน้นให้ใช้แต่ความเชื่อ พุทธเป็นศาสนาที่เน้นการเป็นผู้ให้ แต่พุทธที่เราพบในเมืองไทยกลับเน้นให้เราเป็นผู้ขอ เห็นไม้ว่าทุกอย่างตรงข้ามไปหมดแล้ว 
 
เมืองไทยกลายเป็นเมืองที่วิปริตคนกิ่งดิบกิ่งดี ได้รับการยกย่องอยู่ทั่วไป ตำแหน่งแห่งหนดี ๆที่มีศักยภาพในการบริหารบ้านเมือง ล้วนตกอยู่ในมือของคนที่ไม่ค่อยมีความรู้ความสามารถ แต่มีความอยาก คนดีไม่ได้รับการปูนบำเหน็จ คนเลวกับได้อยู่ในที่ ๆ ควรบริหารประเทศชาติ แต่เมือขิ้นไปอยู่เเล้วก้ไม่มีความสามรถที่จะบริหาร 
 
คนไทยนั้น 1  มีปัญหาในเรื่องค่านิยม ที่วิปริต สองมีปัญหาในเรื่องที่คนดีไม่ได้รับการยกย่อง สามมีปัญหาในเรื่องของการศึกษาที่ไม่กระตุ้นให้คนรู้จักใช้ปัญญา สี่ มีปัญหาในเรื่องการเผยเเพร่พระพุทธศาสนาที่ไม่ใช่แก่นอันเเท้จริง ห้ามีปัญหาเรื่องประชาธิปไตยครึ่งใบ หกมีปัญหาเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่รักสบายมากเกินไป ไม่ค่อยสู้ชีวิต ไม่ค่อยใฝ่รู้ นี่คือปัญหาโดยรวมของสังคมไทย และถ้าจะมีอีกข้อนึงก้คือ เจ็ด คนไทยขาดคามภูมิใจในความสามารถของตนเอง

Views: 677

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

Comment by iggy_s_work on April 23, 2011 at 5:19pm

ขอแชร์ครับ

 

สุดยอดมาก

Comment by เอกพันธ์ ธนการพาณิช on April 22, 2011 at 2:56pm
ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันกันครับ ขออ่านอีกรอบนะ :)
Comment by Bonus on April 20, 2011 at 4:47pm
อนุโมทนา สาธุ กับคำสอนดีๆในหนังสือเล่มนี้ค่ะ ^v^ ขอบคุณมากนะคะที่มีสิ่งดีๆมาให้อ่าน และคิดตามทำให้เข้าใจในการวางตัวในสังคมมากขึ้นค่ะ

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service