งานไม้และชีวิต"แก๊ป-ทีโบน"

แก๊ป ทีโบน แม้จะเป็นคนสนใจในธรรมชาติ แต่เขาบอกว่า ไม่ใช่นักอนุรักษ์ งานยามว่างของเขาคือ การทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้ที่ต้นไม้ล้ม 

"ผมมีความสุขแล้ว พอแล้ว ทุกวันนี้ ที่เป็นนักดนตรีก็ไม่ได้ตั้งใจ มีชื่อเสียงก็ส่วนหนึ่ง สุดท้ายก็สนองความต้องการของเรา" แก๊ป-เจษฎา ธีระภินันท์ นักร้องนำและมือกีตาร์วงทีโบน สไตล์เร็กเก้-สกา ซึ่งกำลังมีผลงานชุดใหม่ BONG IN DA HOUSE เล่าให้ฟัง ณ ร้านแซกโซโฟน 

คำว่า “พอและมีความสุขแล้ว” เป็นเรื่องที่ธรรมดาๆ สำหรับนักดนตรีคนนี้ โดยไม่ต้องขยายความ เพราะแฟนเพลงก็คงจะรู้จักตัวตนของเขาเป็นอย่างดี “ถ้าผมคิดจะหาผลประโยชน์ก็ทำมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ โฆษณาครีมแก้สิวก็ได้ แต่ผมไม่ทำ และไม่รับงานที่ขอให้ไปเล่นคนเดียว ถ้าจะให้เล่นดนตรีต้องไปทั้งวง” 

ไม่ง่ายที่วงดนตรีใดจะเดินบนเส้นทางนี้กว่า 20 ปี และยังคงเป็นนักดนตรีหน้าเดิม 10 คน ซึ่งทีโบนก็ได้ทำให้เห็นมิตรภาพที่ยั่งยืน 

“มิตรภาพที่ยั่งยืน” คือ สิ่งที่แก๊ปให้ค่ามากกว่าการแสวงหาเงินทองหรือความมีชื่อเสียง เขาเลือกที่จะทำงานดนตรีที่มีเอกลักษณ์ เป็นตัวของตัวเอง และไม่ให้ธุรกิจมาบดบังงานสร้างสรรค์ 

“ถ้าผมไม่มีเพื่อนจะอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมได้ เพื่อนทุกคนในวงก็ได้หมด ผมไม่เคยบอกว่า ผมทำงานเยอะกว่า ต้องแบ่งเงินให้มากกว่า” 

นั่นเป็นมิตรภาพและงานเพลง ส่วนมุมชีวิต เขามีครอบครัว ภรรยาและลูกสองคน ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังเก่าใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพราะชอบธรรมชาติและว่างๆ ก็ทำงานอดิเรก เฟอร์นิเจอร์จากไม้เหลือใช้ 

“ผมจำได้ว่า ใช้ชีวิตในต่างจังหวัดตั้งแต่เด็ก ก็เลยรู้จักการปรับตัวกับธรรมชาติได้ดี คุณเคยเห็นข่าวน้ำท่วมไหม เวลามีคนไปเยี่ยม แล้วทุกคนยิ้มแย้ม ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ” แก๊ปย้อนถึงชีวิตวัยเด็ก ส่วนงานไม้ที่ทำในช่วง 5 ปีเป็นความชอบส่วนตัว ส่วนใหญ่เขาทำให้ผู้ใหญ่ที่นับถือกัน และทำใช้เอง ไม่ได้คิดจะทำขาย 

“เป็นไม้ล้มที่บ้านหรือลอยมาจากทะเล ซึ่งผมเก็บได้เยอะ ไม้บางอย่างเป็นไม้เนื้อดี ไม้ตะเคียนทอง ไม้เต็ง เป็นไม้ใหญ่เห็นแล้วก็คิดว่าน่าสนใจ จึงลองหาความรู้จากชาวบ้าน เอาไม้มาตัดเป็นชิ้นๆ กองไว้ จากนั้นเริ่มทำเป็นของใช้ในบ้าน โต๊ะ เก้าอี้” 

แม้จะมีพื้นฐานศิลปะเป็นทุนเดิม แต่แก๊ปไม่เคยทำงานไม้ จึงค่อยๆ หัดทำ และไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากทำโต๊ะและเก้าอี้ 5 ตัวในเวลาสองเดือน 

“ผมทำเป็นงานอดิเรกไม่ได้ทำขาย บางครั้งก็ชวนเพื่อนมาวาดรูปลงบนเฟอร์นิเจอร์ ตอนนี้ทำไว้เกือบ 40 ชิ้น คาดว่าจะทำเป็นนิทรรศการ แต่สุดท้ายก็คงต้องขาย เป็นงานทำมือที่ทำให้เพื่อนและผู้ใหญ่ เคยมีคนที่หอศิลป์ขอไปประมูลบ้าง” 

จังหวะที่เขาทำงานไม้ แก๊ปจะไม่ทำงานเพลง เขาบอกว่า ต้องทำกิจกรรมทีละอย่าง 
“ถ้าเราปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต แนวคิดเปลี่ยน อย่างงานไม้ผมตั้งใจที่จะใช้เศษไม้ บางชนิดเป็นไม้สักทอง ซื้อมาบ้าง และเก็บมาบ้าง รวมทั้งปลูกไม้ใหญ่ในบริเวณบ้านไว้บ้าง” 

แม้จะเห็นคุณค่าของเศษไม้ แต่เขายืนยันว่า ไม่ใช่นักอนุรักษ์ ไม่ชอบแสดงตัวอย่างนั้น แต่มั่นใจได้ว่า ชีวิตนี้ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคมและธรรมชาติ 

“ผมสนใจทุกอย่างที่มีผลกระทบต่อธรรมชาติ แต่ผมไม่ใช่นักอนุรักษ์ ผมเป็นนักเดินทางตั้งแต่อายุ 20 ปี ถ้าไม่มีการเดินทาง ผมเขียนเพลงไม่ได้ เพราะการใช้ชีวิตทำให้เราเขียนเพลงได้ ถ้าผมอยู่ในระบบ แล้วต้องปรับเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ผมคงเขียนเพลงไม่ได้ ผมเลือกทำงานที่บ้าน แค่นี้ก็ดีกว่าคนอื่นเยอะ เพราะได้เลี้ยงลูก อย่างคนในเมืองทำงานข้างนอกเลี้ยงลูกตัวเองไม่ได้ ส่งลูกไปเรียนพิเศษ เอาเงินไปให้ธุรกิจโรงเรียน แต่ผมมีเวลาสอนลูก และสอนแบบไม่ยัดเยียด ลูกอยากทำอะไรก็ทำ” 

เพราะตั้งแต่วัยเด็กต้องพึ่งพาตนเอง เขาจึงเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้จะเคยหนีออกจากบ้านไปอยู่สลัมหลายแห่ง เขาก็ไม่เคยหลงไปกับยาเสพติด ประคองชีวิตมาได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะยายและคนที่บ้านอบรมสั่งสอน และมีสิ่งเดียวที่หลงใหลมาตลอดคือ ดนตรี 

“ชีวิตผมลองมาทุกอย่าง เรื่องเหล่านี้อยู่ที่จิตใต้สำนึกว่าคุณเป็นยังไง ผมสอนไม่ได้ และไม่พร้อมจะสอนใคร ผมไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี เลยไม่พยายามผลักดันตัวเองให้เป็นตัวอย่างของเยาวชน พ่อแม่ผมก็ไม่เคยเปิดเพลงคลาสสิกให้ฟัง ทุกอย่างมาเอง ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนที่เรียนช่างศิลป์ ผมก็สกรีนเสื้อหาเลี้ยงตัวเอง และผมเคยเดินไปบอกอาจารย์ว่า ไม่เรียนแล้วจะเล่นดนตรี” 



ทดลองใช้ชีวิตตามแบบที่ตัวเองต้องการเป็นสิ่งที่แก๊ปได้เรียนรู้ หากเรื่องใดไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แก๊ปก็จะเลือกทางที่...ใช่และชอบ 

“ผมเป็นคนที่ชอบลองใช้ชีวิต มีช่วงหนึ่งชอบแฟชั่น แต่พอเข้าไปอยู่ตรงนั้น รู้สึกไม่ใช่ ก็ถอยออกมา ผมพึ่งตัวเองมาตลอด เป็นคนไม่มีหนี้ ไม่ผ่อนอะไรเลย ทุกอย่างที่ผมอยากได้ผมจะเก็บเงินจนครบ แล้วค่อยซื้อด้วยเงินสด ผมทำแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ผมจึงไม่เป็นทาสสิ่งเหล่านี้” 

นอกจากชอบทำงานไม้เหลือใช้จากต้นไม้ล้ม เขายังชอบใช้ของมือสอง ไม่ว่าเครื่องดนตรี เสื้อผ้า เขาซื้อโดยคิดถึงประโยชน์การใช้งานด้วย 

“ผมชอบของเก่า อย่างเครื่องดนตรีหลายชิ้น ผมซื้อของมือสอง เพราะอยากได้เสียงดั้งเดิม ผมคิดว่า เราเป็นนักดนตรีต้องเล่นดนตรีด้วยมือ เพราะทำให้เราเป็นคน แม้ปัจจุบันเทคโนโลยีจะทำให้เราสามารถตัดต่อหนังได้โดยใช้แค่เมาท์คอมพิวเตอร์อันเดียว แต่ผมชอบเรียนรู้ทักษะการใช้มือหัดเล่นกีตาร์ มันมีส่วนที่ทำให้เราสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อใช้จิตวิญญาณถ่ายทอดออกมา” 

เมื่อคุยถึงเครื่องดนตรี ส่วนใหญ่เขานิยมซื้อของมือสอง เพราะประหยัดทั้งเงินและได้เครื่องดนตรีเสียงดั้งเดิมไม่เหมือนใคร 

“ผมคนเดียวในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ซื้อของพวกนี้ กีตาร์ เบส คีย์บอร์ด ผมใช้ของมือสอง เพื่อนๆ ก็รอใช้อย่างเดียว กีตาร์เก่าบางชิ้นมีเสียงที่กีตาร์ใหม่ทำไม่ได้ผมค่อนข้างยกย่องคนที่คิดประดิษฐ์สิ่งของในยุคแรกๆ ผมคิดว่าเราต้องใช้ของพวกนี้ ถ้าเราเลือกจะเป็นนักดนตรี ทุกอย่างควรมาจากมือเรา ความคิดเรา และผมคงไม่สนับสนุนให้ใช้คอมพิวเตอร์อย่างเดียว” 

ส่วนของเก่าชิ้นโปรดที่แก๊ปยังใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้คือ กีตาร์โปร่งตัวเล็กๆ ใช้มานานกว่า 20 ปี เขาบอกว่า ไม่จำเป็นต้องสุรุ่ยสุร่าย อะไรมีแล้ว ก็พอ อะไรไม่มี ก็หา 

หากถามว่า เป็นคนที่รู้จักพอตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาบอกว่า เป็นคนที่รู้จักอยู่ร่วมกับยุคสมัย แม้จะนิยมของเก่าและรักวิถีชีวิตดั้งเดิม ก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกับยุคปัจจุบันได้ด้วย 

"เราไม่ทิ้งของเก่าที่ชอบ และปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีปัจจุบัน แม้คอมพิวเตอร์จะสร้างงานดนตรีทั้งหมดได้ แล้วคนเราจำเป็นต้องแต่งเพลงด้วยการนั่งกดเมาส์คอมพิวเตอร์อย่างเดียวหรือ ทำแบบนี้มันเป็นนักดนตรีตรงไหน ผมใช้ของพวกนี้เพื่อเป็นเครื่องอัดเสียง" 




โดย: เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ที่มา: bangkokbiznews.com / 18 สิงหาคม 2554

Views: 164

Reply to This

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service