เป็นเอก : ทำหนัง ฟังเพลง



ใบปิดหนัง ฝนตกขึ้นฟ้า เรื่องล่าสุดจากเป็นเอก
----------------------------------

"สิบปีที่ผ่านมา ผมเชื่อในเรื่อง บุพเพฯ ว่า ชาตินี้ ถ้าเราจะมีอนาคตร่วมกัน และถ้าเราจะไป inspire คุณ และคุณจะมา inspire เรา ก็คงมาเจอกันเอง"


เดี๋ยวนี้ไม่รู้สึกว่า (ไฟล์เพลง)MP3 ไม่รู้สึกแย่เหมือนเก่า แต่พอกลับไปฟังเพลงจากแผ่นซีดี กลับรู้สึกว่ามันเพราะมาก แต่ผมเป็นคนฟังเพลงแบบเอาเนื้อ ผมฟังเพลงแบบไม่ดูมิวสิควิดีโอ" เป็นคำบอกเล่าจาก เป็นเอก รัตนเรือง ผู้กำกับหนังไทย ที่มีผลงานเป็นแบบส่วนตัว และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ


หลังจากที่เขาพาหนัง "นางไม้" ไปฉายที่เทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2009 ในสาย Un Certian Regard หรือหนังน่าจับตามอง หนังใหม่เรื่องที่ 8 ของเขาจะกลับมาฉายให้ได้ชมภายในปีนี้ แต่กระแสก่อนคานส์ 2011 ที่มีเสียงลือว่า หนังเรื่อง "ฝนตกขึ้นฟ้า" หรือ Headshot ของเขา จะส่งไปร่วมงานที่คานส์กลางเดือนนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วย

แต่เมื่อ "หนังเสร็จไม่ทัน" ตามที่ผู้กำกับบอกเล่า ทำให้คานส์ปีนี้ ไม่มีหนังไทยได้รับเลือกเข้าร่วมแม้แต่ครั้งเดียว


ในระหว่างเดินสายโปรโมทงานเฉพาะกิจกับภารกิจ "โชว์ ไดเรคเตอร์" ให้กับงานคอนเสิร์ตแบบมหกรรมและอิงคอนเซปต์ หนังกับเพลง ที่เพิ่งจัดแสดงไปในวันเสาร์ที่ผ่านมา (ที่หัวหิน) เป็นเอก ได้บอกเล่าถึง

พฤติกรรมการฟังดนตรีของเขาเอง และความคืบหน้าของหนัง "ฝนตกขึ้นฟ้า"

เพลงให้แรงบันดาลกับงานสร้างสรรค์ของเขาอย่างไร?

"เวลาผมนั่งเขียนบทหนัง ผมฟังเพลงไปด้วยตลอดนะ และมันก็เกิดไอเดีย" เป็นเอก ตอบคำถาม และเพิ่มเติมถึงพฤติกรรมการเสพดนตรีที่ทำให้เขาเรียนรู้บางสิ่งจากมันได้ว่า


"ผมเป็นคนทำงานด้านสร้างสรรค์คนหนึ่งในโลกใบนี้ที่ถือว่ามีการ update ต่ำมากเลย (หัวเราะ) คือผมคล้ายๆ ฤาษีน่ะ ทำแต่สิ่งเดิมๆ แต่การฟังเพลงแม้เราจะฟังเพลงเดิมๆ แต่เมื่ออายุเราเปลี่ยนไป หรือเราไปผ่านประสบการณ์อะไรมา ทั้งดีและไม่ดี เรากลับไปฟังเดิม ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปนะ ความงามของมันก็เปลี่ยนไป"






เปลี่ยนไปอย่างไร?
"เพลงบางเพลง ฟังแล้วมันรู้สึกเศร้าๆ แต่ก็อดฟังมันไม่ได้ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไป โดนแฟนทิ้งสัก 2-3 คน ความรู้สึกในการฟังก็จะเปลี่ยนไป ชักรู้สึก เฮ้ย เพลงนี้มันงามว่ะ อะไรแบบนี้ อันเดิมจะทำให้เกิดความคิดใหม่"


"เมื่อก่อน ตอนผมอายุน้อยกว่านี้ ผมจะเข้าใจว่า การเป็นคนทำงานสร้างสรรค์ การ up-to-date มันสำคัญมาก จะหลุดเทรนด์ไม่ได้เลย ต้อง up-to-date ตลอด แต่ 7-10 ปีที่ผ่านมานี่ โลกนี้มีอะไรเกิดขึ้นเร็วมาก เยอะมาก จนผมทำหนังตอนนี้ ผมยังไม่ดูหนังเลย หนังมันเยอะมาก ดูไม่หวาดไม่ไหวเลย และกว่าเราจะไปเจอไอ้หนังดี ที่มันถูกใจเราจริงๆ เราต้องผ่านหนังขยะไป 100 เรื่อง ดนตรีก็คล้ายๆกัน หนังสือก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเดินเข้าร้านหนังสือ เราจะรู้ว่าเลย หยิบเล่มนี้มาอ่านได้แน่ๆ แต่ทุกวันนี้ทุกเล่มหยิบมามันเจ๋งหมดเลย"




( แล้วไงต่อ? )


"สิบปีที่ผ่านมานี้ ผมก็เลยตัดสินใจว่า ความ up-to-date คงไม่ใช่จุดแข็งของผมแล้วล่ะ และผมก็ไม่สนใจจะ up-to-date ตลอดเวลาแล้ว ผมก็เลยเชื่อในเรื่อง บุพเพฯ ว่า ชาตินี้ อะไรที่จะมาเจอกับ(กู) ถ้าเราจะมีอนาคตร่วมกัน และถ้าเราจะไป inspire คุณ และคุณจะมา inspire เราเนี่ย มันก็คงมาเจอกันเองแหละ เดี๋ยวเราก็จะไปเจอนักดนตรีคนนี้เอง จะไปเจอเพลงนี้เอง จะไปเจอหนังสือเล่มนี้เอง จะไปเจอภาพยนตร์เรื่องนี้เองแหละ"




"ส่วนไอ้การที่จะไปไขว่คว้าเนี่ย มันค่อยๆ น้อยลง แต่มันก็ดีนะ มันทำให้เรามีสมาธิกับสิ่งที่เราอยู่ด้วยมากขึ้น เมื่อก่อนมัน 'เยอะ' ไปหมด เดี๋ยวนี้ พอเรานึกแบบนั้น(แบบบุพเพฯ) มันทำให้เรา นิ่งลง และโฟกัสกับสิ่งที่เราทำมากขึ้น"


เป็นเอก(ขวาสุด)กับทีมนักแสดง นางไม้ ที่คานส์ปี 2009
----------------------------


สรุปว่าไม่ตามเทรนด์ แต่เพลงที่ฟังอยู่ ศิลปินใหม่รายล่าสุดที่เพิ่งหามาฟัง เป็นใคร? เป็นเอกบอกว่า มันก็ยังเป็นศิลปินหน้าเก่า ไม่ใช่ จัสติน บีเบอร์ แน่นอน


"ตอนนี้ที่อยู่ในรถคือ Tindersticks (วงอัลเทอร์เนทีฟจากอังกฤษเริ่มวงปี 1991) ซึ่งฟังตามศิลปินที่ผมชอบมากคือ Tom Waits มันก็เหมือนการอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วมันจะพาเราไปเจออีกเล่มหนึ่ง มันจะเป็นคล้ายๆอย่างนั้น และก็ส่วนมาก เพื่อนๆที่รู้ว่าเราชอบแนวๆนี้จะไรท์เพลงมาให้ฟัง ซึ่งของ Tindersticks ที่ว่าใหม่สำหรับผมก็เป็นวงที่เก่ามากแล้วนะ (หัวเราะ)
ผมจะฟัง พี่หงา คาราวาน บ็อบ ดีแลน พงษ์เทพ กระโดนชำนาญนี่ชอบมาก Nick Cave อะไรแบบนี้"


และการไม่ตามเทรนด์ ให้ผลดีกับการงานเสียด้วย
"เพราะสิ่งที่ผมทำเป็นอาชีพคือการทำหนังเนี่ย มันเป็นกิจกรรมที่ยากมาก มันแทบจะเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่แทบจะ impossible เลยที่จะทำให้มันออกมาได้ดีน่ะ อย่างการมาทำ (มิวสิค อีเวนท์)โชว์ แบบนี้ มันต้องดีทุกอย่าง ถ้าอยากให้งานทั้งหมดมันออกมาได้ดี แต่ถ้าอย่างเดียวไม่ดี มันก็ออกมาไม่ดีแล้ว มันเป็นที่มา ที่ผมต้องตัดหลายๆอย่างๆ ออกไปจากชีวิต เพราะการ(ทำหนัง ทำงานสร้างสรรค์) มันต้องใช้ concentration สูงมาก" เป็นเอก อธิบาย


การเป็นโชว์ ไดเร็คเตอร์ (งานคอนเสิร์ต) กับผู้กำกับหนังแตกต่างกันแค่ไหน ความรู้สึกรับผิดชอบ ต่อการทำโชว์กับคนดู มันเหมือนตอนทำหนังหรือไม่
"มีอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่าการทำ(โชว์) ผมอาจจะควบคุมมันไม่ได้มาก เพราะประสบการณ์ไม่มี และอยากที่บอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่ายๆ แต่ความตั้งใจ ความคิด ก็เต็มที่ เหมือนทำหนังนั่นแหละ ทำให้เต็มที่ แล้วก็สวดมนต์เอา (ว่าคนจะชอบหรือเปล่า) เพราะถ้าเราคอนโทรลมันได้ทุกอย่าง มันก็คงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแล้ว เหมือนบอกว่าการทำงานนี้มันเหมือนเดินบนขอนไม้ ไม่มีที่จับ ก็ต้องเดินให้ตลอดถึงฝั่ง ถ้าอยากชัวร์ก็มาเดินบนสะพานคอนกรีตไปเลยสิ จะเดินบนขอนไม้ทำไม ความสนุกตื่นเต้นมันก็คงไม่เหลือ"


ขยับมาเล่าถึงหนัง "ฝนตกขึ้นฟ้า" ได้ความว่า
"ตอนนี้ยังตัดต่อไม่เสร็จ และน่าจะได้ฉายเดือนตุลาคมปีนี้ หนังเรื่องนี้ไม่มีคนจัดจำหน่ายให้ ผมจัดจำหน่ายเอง ก็ไม่เคยทำเหมือนกัน ต้องไปนั่งประชุมกับโรงหนังเอง เกิดมาไม่เคยทำเลย และก็จะเข้าฉายที่โรงเอสเอฟ ซึ่งทางเอสเอฟก็บอกว่า หนังคุณเป็นเอก เลือกเลยจะเข้าโรงไหน ไม่ต้องคิดมาก ให้เลือกโลเกชั่น(ของโรง)เอา และเขามีตัวเลขอยู่แล้วว่าโลเกชั่นไหนของผมฉายได้เงิน ก็มีพอสมควร ก็จิ้มเลือกเลย เพราะในกรุงเทพก็อยู่แค่ 9 ที่(สาขา) รวมพัทยาอีกที่ ก็เป็น 10 ที่"


เหตุที่ต้องรอจนถึงเดือนตุลาคม ผู้กำกับบอกว่าเป็นเพราะรอโรงหนังเครือเอสเอฟ 2 สาขา ที่ยังสร้างไม่เสร็จ
"มี Terminal 21 ห้างใหม่ที่จะเปิดในซอยอโศก และเอสเอฟจะเปิดโรงหนังเป็น flagship ของเขาที่นั่นด้วย และเป็นโลเกชั่นที่หนังผมขายได้ หนังของผมก็จะเป็นหนังเปิดห้างนั้นล่ะ ทำหนังมา 15 ปี เพิ่งได้รับเกียรติให้ทำหนังเปิดห้าง (หัวเราะ) ส่วนโลเกชั่นที่ลาดพร้าว รู้สึกเขาจะปิดซ่อม น่าจะเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม และซัมเมอร์นี้ (มิย.ถึงก.ย.)หนังของผมก็อย่าไปสะเออะหน้า (เข้าโรง)เลย เพราะมันจะมีหนังอย่าง Harry Potter ภาคสุดท้าย Transformers 3 และหนังจอห์นนี่ เด็ปป์ ทาตาดำ Pirate 4 อะไรพวกนี้ ถ้าหนังผมเข้าฉาย เดี๋ยวไปทำหนังพวกนี้เจ๊งหมด (ฮา) ต้องรับผิดชอบหลายค่ายมาก คงต้องหลบทางให้เขาหน่อยล่ะฮะ (หัวเราะ)


หนังจะฉายที่เมืองไทยอย่างเดียวหรือไม่?
"ก็ไม่หรอก เพราะเรามีนายทุนจากฝรั่งเศสมา และมีเงินจาก ฝรั่งเศสเป็นแบบ pre-sale คือหนังต้องไปฉายฝรั่งเศสแน่ๆ และจริงๆเขาจะเอาไปเมืองคานส์ด้วย แต่พอดีหนังผมไม่เสร็จ ก็เลยไม่สามารถไปได้ เราก็ต้องรอว่า เทศกาลหนังต่อไป จะไปไหน ก็คงจะรีลีสก่อนตุลาคมนะ"


คำถามว่า ทำหนังอินดี้แบบนี้ สนุกกว่าเดิมไหม? คำตอบที่ได้คือ

"ผมเครียดมาก ไม่เคยทำหนังแล้วเครียดขนาดนี้เลย" ก่อนจะอธิบายว่า โปรเจคต์นี้เป็นเรื่องตกกระไดพลอยโจน ที่บังเอิญชิงโชคได้ทุนมานั่นเอง


"จริงๆผมยังไม่ได้อยากทำหนังในช่วงนี้นะ แต่พอดีมันมีงบ(ไทยเข้มแข็ง)จากรัฐบาล (ทุนอื้อฉาวในปี 2553 ที่ให้นเรศวรฯ 100 ล้านบาท และหนัง ลุงบุญมีระลึกชาติ 3 ล้านบาท และหนังของเป็นเอกได้ทุน 5แสนบาท) โปรดิวเซอร์ของผมก็ถามว่า มีscript หนังหรือ treatment เขียนไว้บ้างไหม ลองส่งไป(ประกวดชิงทุน)ดู ก็ไปค้นๆ ดู ก็มี treatment ที่ผมเขียนไว้นานแล้ว เป็นเรื่องจากนิยายของพี่วิน (เลียววารินทร์) เราก็ส่งเหมือนไปชิงโชค ก็ได้เงินจำนวนหนึ่ง และเขาประกาศในเวบไซต์ว่าหนังที่ได้ทุนมีเรื่องอะไรบ้าง คนที่เขาจัดจำหน่ายหนังผมในฝรั่งเศสมาทุกเรื่อง ก็อีเมล์มาหาผมว่า "ยูจะทำหนังใหม่เหรอ ไหนบอกยังไม่ทำไง ไหนเล่าเรื่องให้ฟังซิ" ผมก็ส่งสคริปต์ไปให้เขาอ่าน เขาก็ชอบใจและร่วมลงทุนด้วย เราก็เปิดกล้องได้ ขาดเงินอีกนิดๆ หน่อยๆ ก็ applied ไปตามกองทุนต่างๆ สำหรับงบในงานโพสต์-โปรดักชั่น แล้วก็ได้เงินจำนวนหนึ่งมาจาก สวีเดน ซึ่งเขาก็ขอ right ที่จะเอาหนังไปฉายในสวีเดน"


ก่อนหน้านี้หนังทั้ง 7 เรื่องจาก ฝันบ้าคาราโอเกะ,เรื่องตลก69,มนตร์รักทรานซิสเตอร์ ,เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล,The Invisible Wave คำพิพากษามหาสมุทร,พลอย และ นางไม้ เป็นงานสร้างโดยมีค่ายไฟว์สตาร์ เป็นนายทุนหลัก แต่สำหรับงานนี้


"ตอนนี้มันก็ทำให้ ตกกระไดพลอยโจน ทำไปได้โดยไม่มีค่ายหนังมาเกี่ยวครับ"



ติดตามความเคลื่อนไหวและรายละเอียดเกี่ยวกับหนังเพิ่มเติมได้ที่ http://www.headshotmovie.com/




โดย: ทศพร กลิ่นหอม
ที่มา: bangkokbiznews.com / 2 มิถุนายน 2554

Views: 36

Reply to This

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service