เป็นเอก รัตนเรือง กำกับหนัง บนเส้นทางกำกับชีวิต




"หนังเรื่องนี้จะดูยากไหม ?"

นี่คงเป็นคำถามที่ ชายที่ชื่อ ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง จะต้องถูกถามทุกครั้งหลังจากที่หนังของเขาเสร็จสิ้นและเตรียมที่จะร่วมหอ ลงโรงในโรงภาพยนตร์

เป็นเอก ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 12 ปีแล้ว สำหรับการกำกับหนัง ถ้านับเฉพาะหนังใหญ่ ถึงวันนี้เขาทำหนังมา 7 เรื่องแล้ว ไล่มาตั้งแต่เรื่อง ฝัน บ้า คาราโอเกะ (2540) เรื่องตลก 69 (2542) มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2544) เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (2546) คำพิพากษา ของมหาสมุทร (2549) พลอย (2550) จนมาถึงปัจจุบันเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง กับหนังผีเรื่อง นางไม้

หนังของเขามีลักษณะเฉพาะตัวจนหลายคนอาจจะเรียกว่า "หนังเป็นเอก" ซึ่งหนังหลายเรื่องเป็นที่นิยมของเทศกาลหนังในต่างประเทศเป็นอย่างมาก อย่างคราวนี้ นางไม้ก็ได้รับการคัดเลือกเข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ครั้งที่ 62 ที่ฝรั่งเศส เป็น 1 ใน 20 เรื่อง ในสาขา Un Certain Regard (หนังที่น่าจับตามอง)

แม้ว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากต่างประเทศ แต่ทันทีที่ฉายที่เมืองไทย คนไทยส่วนใหญ่เตรียมตั้งป้อมยิง "หนังเป็นเอก" ด้วยข้อกังขาที่ว่า หนังของเขาค่อนข้างจะดูยาก จนทุกครั้งที่หนังของเขาออกฉาย คำถามที่ว่า "หนังเรื่องนี้จะดูยากไหม ?" ต่างผุดพรายขึ้นมาราวกับผื่นคันในวันร้อนชื้น

ก่อนที่จะใช้ค่านิยม "เขาเล่าว่า" มาตัดสินหนังของเป็นเอก ต้องคุยกับเขาก่อนว่า "ตัวของเป็นเอก" กับ "หนังของเป็นเอก" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีอย่างนี้ ด้วยความที่ผู้คนตั้งกำแพงว่า หนังของเขาดูยาก เราเลยสนใจว่า เขาคาดหวังในเรื่องรายได้อย่างไร ? เป็นเอกตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า

"เรากำลังจะทำลายความเชื่ออย่างหนึ่ง เราคิดว่าหนังเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจว่ะ คือของเราเป็นพวกเจ้าประจำ ถ้าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ก็จะเป็นร้านที่ส่วนมากไม่มีขาจรมากิน ส่วนมากจะเป็นขาประจำ เศรษฐกิจจะดีไม่ดี การควักเงินมาดูหนังเราสัก 140 บาท สำหรับคนที่เป็นขาประจำ ก็ไม่ได้เดือดร้อนขนาดนั้นหรอก เขาอาจจะเซฟไม่ดูหนังเรื่องอื่นไป หนังเรื่องอื่นสิ จะซวย (หัวเราะ)"

แล้วคิดจะเปลี่ยนมาทำหนังที่ถูกใจคนดูในวงกว้างไหม ?

"ทุกคนที่ถามคำถามนี้ เขามีความคิดว่าเรามีความคิดที่จะทำหนังอาร์ตให้ดูยาก เราไม่ได้ตั้งใจนะ (หัวเราะ) คือโปรเจ็กต์ทุกโปรเจ็กต์ของเราตั้งแต่เริ่มต้น มันก็ไม่ต่างจากโปรเจ็กต์ของยุทธเลิศ (สิปปภาค) ไม่ต่างจากหนังของกลุ่มแฟนฉัน ความต่างมาต่างกันตอนที่ทำเสร็จแล้ว ตรงนี้มั้งที่เป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรา คนทำหนังเราคิดว่ามันควบคุมตัวเองไม่ได้ว่า เฮ้ย ฉันอยากจะทำหนังให้แมสไม่แมส มันควบคุมไม่ได้ อยู่ที่ว่าเราเป็นคนยังไง ต่อให้สมมติว่า ในตัวคนหนึ่งคนมันมีสิทธิ์เลือกที่จะทำหนังหลายแบบ อย่างเช่นช่วงนี้ฉันอยากจะทำหนังแมส ฉันก็สวิตช์ปุ่มไปทางนี้ทำหนังแบบยุทธเลิศ หรือฉันอยากได้รางวัลหนังเมืองคานส์ ก็กดปุ่มตัวเองไปทำหนังแบบอภิชาติพงศ์ เราไม่มีความสามารถ อยากได้เงินแบบแฟนฉันน่ะอยาก แต่ความสามารถมีแค่นี้ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นคำถามนี้ตอบยาก เพราะมันไม่ใช่ว่า เฮ้ย มันเค็มน้อยว่ะ เติมเกลืออีกหน่อย ปัญหาก็คือการทำหนัง ต่อให้รู้ว่าเค็มน้อยไป ต้องเติมเกลือ ยังหาเกลือไม่เจอเลย"

ถึงตอนนี้ เราขอเปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องการเมือง...

ผู้กำกับภาพยนตร์ เมื่อพูดคุยเรื่องการเมือง จะออกมาในมุมไหนเนี่ย เราเลยลองให้เปรียบสภาพการเมืองไทยกับหนังสักเรื่องของเป็นเอก คำตอบที่ได้ก็คือ

"ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจการเมืองเท่าไหร่ ก็รับรู้เท่าที่ต้องรับรู้" เขาออกตัวก่อนที่จะอธิบายการเมืองในมุมมองของเป็นเขา แบบคอมโบเซต แต่แหลมคมมาก

"(หัวเราะ) คือตอนนี้ผมว่าเป็นหนังเรื่อง ฝัน บ้า คาราคาซัง ไม่ใช่ฝัน บ้า คาราโอเกะ คือตอนนี้มันคาราคาซังมาก เราก็รู้อยู่ว่ามันคาราคาซัง ผมไม่ได้เข้าข้างใครนะ แต่ผมมองว่า คนคนหนึ่งที่เขาเสียอำนาจอยู่ เขาก็ไม่ยอม ไอ้ทางนี้พยายามบอกว่า ยอมเหอะ ประเทศนี้ จะได้ไม่บอบช้ำ ก็เกลี้ยกล่อมคนคนนั้น ไอ้คนคนนั้นก็ไม่ยอม กลัวเสียฟอร์ม ทีนี้ ไอ้คำว่าต้องปรองดอง ต้องรักกัน สำหรับผม ตอนนี้มันเป็นคำพูดที่น่าเบื่อไปแล้วด้วยซ้ำ เริ่มเป็น คำพูดที่ไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะไอ้การที่คนทั้งสองฝั่งบอกว่าต้องปรองดองกัน แสดงให้เห็นว่าเราชักเละแล้วว่ะ เราจึงเห็นตรงกันว่า เฮ้ยๆ มาปรองดองกัน แต่ถ้าฝ่ายเดียวบอกว่า มาปรองดองกัน แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ยิ่งเละเท่าไหร่ยิ่งชอบ ไอ้การปรองดองไม่เกิด หรอกครับ...

...เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดจบของเหตุการณ์คืออะไร แต่ว่า ผมคิดว่าช่วงเวลาตอนนี้เป็นช่วงเวลาเช็กบิลน่ะครับ คือเราจะไปโทษทักษิณอย่างเดียวมันก็ง่ายไปหน่อย ว่าคนคนนี้เลว ทำประเทศฉิบหาย แต่คุณอย่าลืมว่า คนอย่างทักษิณ เขาก็เป็นผลผลิตของสังคมที่พวกคุณสร้างขึ้นมา คุณสร้างให้เกิดทักษิณขึ้นมานะ คุณอย่าลืมนะ สมัยทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ๆ มีอำนาจใหม่ๆ คนก็รวยกันฉิบหายเลย รวยกันผิดๆ ถูกๆ แต่ว่ารวย คือพนักงาน ในบริษัทมีรถกันหมด มาวันหนึ่งคุณบอกว่า ไม่เอาแล้วว่ะ แล้วคุณก็ไปเบลมว่า มันเลว คุณสร้างเขาขึ้นมานะ ถ้าสังคมนี้ไม่ได้สร้างเขาขึ้นมา เขาไม่เกิดขึ้นมาหรอกครับ คนอย่าง ทักษิณน่ะ ผมพูดจริงๆ คนในประเทศนี้ที่ทำงานทำการดีๆ ก็หาทางเลี่ยงภาษีกันทั้งนั้น ทีนี้คุณจะไปด่าทักษิณได้ไง ของทักษิณแค่ตัวเลขมันเยอะกว่าเท่านั้นเอง แต่ว่าคุณโกงเงิน 2 บาทกับเงิน 2 หมื่นล้าน คุณก็โกง ก็หลบเลี่ยงอยู่ดี"

กลับเข้ามาที่ตัวของเป็นเอก คำว่า เป็นเอก ที่แปลว่าเป็นเลิศ เราเลยอยากรู้ว่า เขาผู้นี้เป็นเอกด้านใด "เอาเป็นเวลาเป็นชื่อที่พ่อแม่เราตั้งขึ้นก็แล้วกัน เราไม่ได้ตั้งเอง ผมก็คงไม่ได้เป็นเอกสักด้านมั้ง (หัวเราะ)"

"เอาระดับเป็นโทก็ได้ครับ ?" คนสัมภาษณ์ไม่ยอมแพ้

"(หัวเราะ) เป็นโทก็คงไม่ได้เป็นมั้ง แหม เราก็เหมือนคนทั่วไป ก็มีชีวิตแบบว่า บางครั้งเราก็ทำอะไรได้ดี บางอย่างเราก็ทำได้แย่กว่าบางคน บางอย่างเราก็ทำได้ดีกว่าบางคน บางครั้งไอ้ที่เราทำได้ดีกว่าบางคนออกมาก็ไม่ค่อยดี เราก็เป็นแค่คนเอาตัวรอดไปวันๆ พยายามพยุงตัวเองว่าต้องทำในสิ่งที่ชอบให้มากที่สุด ทำในสิ่งที่ไม่ชอบน้อยที่สุด แต่ว่าอะไรที่ต้องทำก็ต้องทำ"

นับไปนับมา เป็นเอกก็อายุล่วง 47 ปีแล้ว เลยอยากรู้ว่า เขารู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้น บ้างไหม ?

"รู้สึกดีว่าแก่ แต่ผมก็เหมือนเดิมนะ ผมแต่งตัวอย่างนี้ตั้งแต่เรียนหนังสือ ผมพูดจาแบบนี้ ตรงนั้นไม่เปลี่ยนหรอกครับ แต่ว่ารู้สึกว่าแก่ขึ้นก็คือว่า ผมไม่สามารถไปเที่ยวกลางคืนดึกๆ ได้แล้ว ไปเตะบอลจะรู้เลยว่าแก่ ใจมันอยากจะไปแบบนี้ แต่รู้เลยว่าขาไม่ทำตาม (หัวเราะ) แล้วไม่เข้าใจอะไรเยอะมาก ผมไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีไฮไฟว์ แล้วผมก็ยังเขียนจดหมายด้วยมืออยู่ คืออย่างนี้แก่ ผมรู้สึกว่าขนาดชีวิตนี้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ เวลาว่างยังไม่มีเลย แล้วเวลาว่างผมชอบอยู่เฉยๆ นั่งเฉยๆ อ่านหนังสือ กินกาแฟ ดูดบุหรี่ไป ผมไม่ชอบเอาเวลาว่างของผมไปอยู่บนคอมพิวเตอร์ แล้วผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอยากให้โลกรู้จักชีวิตส่วนตัว เมื่อคืนไปไหนมา ไปเมาเป็นหมาที่ไหน ไปจูบปากใครก็ไม่รู้ ผมไม่อยากให้คนทั้งโลกรู้ชีวิตส่วนตัวผม อย่างนี้ถือว่าแก่ไหม ผมถือว่าแก่นะ...

...ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมต้องการอะไร แต่ผมรู้แน่ว่าผมไม่ต้องการอะไร (หัวเราะ) อย่างโลกนี้วุ่นวายแค่ไหน ผมเช็กอีเมล์ 3 วันครั้งหนึ่ง ถ้าใครจะเป็นจะตายยังไง เขาก็ต้องจัดการกันเอง ในวันหนึ่ง 24 ชั่วโมง ผมทำอะไรไม่เกิน 3 อย่าง นอนก็เป็นอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นในวันหนึ่ง ผมทำได้แค่ 2 อย่าง ถ้าเกินก็ต้องไปทำวันอื่น ถ้าเราประกาศตัวเช่นนี้ก็จะพบว่า ไม่ว่าโลกหมุนเร็วแค่ไหน ก็จะยอมอ่อนข้อกับเรา คือผมไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุดในโลก ผมไม่ใช่ ประธานาธิบดีของอเมริกา เพราะฉะนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม ผมรอได้"

คุยกันมานานพอสมควร เราเลยถามคำถามปิดท้ายว่า เป็นเอกเคยเบื่อคำถามเดิมๆ ที่คนอื่นถามบ่อยๆ ไหม ?

"เบื่อครับ (หัวเราะเสียงดัง) ผมว่าน่าเบื่อ แต่ว่าผมรู้หน้าที่ ผมต้องทำหน้าที่นี้ เพราะผมดันอยากทำหนัง ถ้าเป็นไปได้ ตอนผมทำหนังเสร็จ ส่งเข้าไปฉายในโรงหนังเลย โดยที่ผมไม่ต้องให้สัมภาษณ์ ผมจะมีความสุขมากเลย แต่ว่าโลกไม่เป็นอย่างนั้น คุณต้องทำให้หนังของคุณเกิด เบื่อยังไงก็ต้องทำ แต่ว่าการที่ต้องดีลกับสื่อซึ่งผมไม่ชอบมาก ก็ยังมีด้านดีของมัน 12 ปีที่ผมทำหนัง มีสื่อจำนวนมากที่ต่อมากลายเป็นเพื่อนผม คอยช่วยเหลือผม อย่าง หนึ่ง-วรพจน์ พันธุ์พงศ์ (คอลัมนิสต์ชื่อดัง) ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกัน เตะบอลกัน กินเบียร์กัน นอนบ้านผม แล้วเขาเป็นคนที่น่านับถือมากเลย...

...แต่มีคำถามหนึ่งที่ผมตอบไม่ได้ก็คือ หนังเรื่องนี้จะดูยากไหม ? ผมตอบไม่ได้เลย เพราะถ้าผมบอกว่า หนังเรื่องนี้ดูไม่ยาก เขาก็จะบอกว่า น่าน กลัวคนจะไม่ไปดู แต่พอผมบอกดูยาก ก็จะไม่มีคนไปดู ผมก็ตอบไม่ได้"

บรรทัดย่อหน้าก่อนหน้านี้ คงเป็นหน้าที่ของคนดูที่จะต้องไปตัดสินว่า "หนังเป็นเอก" ดูยากหรือดูสนุก Very Happy

 


โดย: ณัฐกร เวียงอินทร์
ภาพ: ไฟว์สตาร์
ที่มา: www.matichon.co.th/prachachat / 08 มิถุนายน 2552
08 มิถุนายน 2552

Views: 148

Reply to This

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service