อนันดา เอเวอริงแฮม ศิลปะ มายา ชีวิต

 
วินาทีนี้ ใครๆ ก็รู้จัก "อนันดา เอเวอริงแฮม" แต่น้อยคนนัก จะรู้ลึกถึง "ตัวตน" ของคน "ติสต์จัด 

และน้อยครั้งที่จะล้วงลับความคิด จิตใจ และสไตล์การใช้ชีวิต กับเป้าหมายที่ไม่ใช่ "พระเอกตลอดกาล" ของหนุ่มวัย 30 คนนี้ 

-งานที่ทำกับสิ่งที่ฝันไว้เป็นสิ่งเดียวกันหรือยัง 

ถ้าตอบกว้างๆ ตอนเริ่มต้นอาจไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ก็เริ่มปั้นมาทางที่ใกล้เคียงกับความฝันเรามากขึ้น ถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ทั้งหมด ผมว่า คนเราก็ไม่มีใครได้ทำตามความฝันร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก มันต้องยอมๆ ปล่อยให้ไหลไปตามโชคชะตาบ้าง แต่ก็ยังโชคดีที่ผมมีอิสระในทางเลือก 

ขณะเดียวกัน พอมันประสบความสำเร็จมากขึ้น เลยดูเหมือนว่าผมมีทางเลือกมากขึ้นอย่างว่า แต่จริงๆ แล้ว งานที่เราทำส่วนมากเป็นงานที่ต้องประสานงานหลายฝ่าย หนังมันทำงานคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว ผมก็ยังไม่ได้ทำตามที่ต้องการเต็มที่ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ส่วนตัวผมเป็นคนประนีประนอมอยู่แล้ว และผมก็รักงานที่ทำตรงนี้อยู่มาก 

- ความสุขกับความสำเร็จของคุณ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณ Born to be 

ไม่ครับ ผมไม่ได้มีบุคลิกเป็นคนที่ชอบอยู่ในสังคม หรือชอบทำอะไรต่อหน้าคนอื่น จริงๆ ผมเป็นคนขี้อาย ผมมาด้วยกรณีบังคับ เพราะมีปัญหาวัยเด็ก ทางบ้านเลยให้ผมออกมาหาความรับผิดชอบจากการทำงาน ผมเลยเป็นพวกประเภท hard work play off ทำงานให้หนัก ทำงานให้เป็น ส่วนรสนิยมค่อยมาปั้นเอาเอง 

และการเข้ามาในวงการก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ถ้าอยากฉาบฉวย มันก็แค่สื่อสารภายนอกให้คนเห็น แต่ถ้าอยากอยู่ให้ยืนยาว มันต้องรู้จริงในงานของตัวเอง 

สมมติถ้าเราต้องแสดงให้คนดู จะร้องเพลง หรือเล่นหนังก็ตาม ถ้าพื้นฐานมันไม่ได้มาจากความเป็นจริงอะไรบางอย่าง ที่มาจากตัวตนของคนคนนั้น สักพักหนึ่งคนก็จะดูออก ถ้าอยากให้ยืนยาว มันต้องมีความจริงใจอะไรบางอย่าง แล้วค่อยๆ พัฒนาความรู้ในแขนงของตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นตรรกะอยู่แล้ว 

- อย่างนั้น คุณมีโมเดลไหม 

ถ้าในบ้านเรา ผมก็ชอบนักแสดงอย่างพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง หรือพี่เอก สรพงษ์ ชาตรี ผมก็ชอบ ผมรู้สึกว่าพวกเขาก็ยังยืนพื้นกันอยู่ตรงจุดเดิมว่าเอางานแสดงไว้ก่อน ส่วนผลตอบแทนของชื่อเสียง ค่อยว่ากันทีหลัง เคยคุยกับพี่เอก สิ่งที่เขาทำ ก็คือต้องให้คุณค่าที่งานนั้นมีต่อคนดู เป็นมุมมองที่ผมยึดไว้ตลอดว่าต้องส่งคุณค่าอะไรให้คนดู 

แม้ผมจะยึดหลักนี้ แต่มันก็ยังอีกนานกว่าจะเป็นอย่างพวกพี่ๆ ได้ ผมว่ามันขึ้นอยู่กับประสบการณ์นะ มันเทียบกันไม่ได้ ถึงผมจะเข้าใจมันมากขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าเราไปถึงขั้นนั้นได้ 

เหตุผลคือ พวกเขาอยู่กับมัน จนเป็นสัญชาตญาณจริงๆ ขณะที่ผมยังหนักมาทางขั้นตอน และด้วยความที่เราต้องปั้นงานอยู่ แต่พวกเขาเกิดมาแบบ Born to Be เลยไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหนที่เราเป็นได้อย่างนั้น 

แต่ถึงจะเกิดมาเพื่อเป็น แต่พวกเขาก็ยังเจออุปสรรคเช่นกัน อย่างตอนเล่นหนังให้พี่อ๊อฟ เขาเปรยให้ผมฟังว่า ห่วง และกลัวว่าตัวเขาเองจะไม่ตื่นเต้น หรือไม่ตื่นตัวกับงานพอ เพราะเหมือนเขาชินกับมัน อยู่กับมันมาก จนแทบจะไม่ต้องคิดอะไร 

- แล้วคุณอยากจะเป็นแบบใด จะไปให้ถึงขั้นไหนล่ะ 

สุดท้ายแล้ว มันคงเป็นเรื่องของอิสระในทางเลือก ถ้าเราได้ถึงจุดที่เราเลือกงานของเราได้ทั้งหมด หมายถึงทุกอย่างที่เราต้องการสื่อออกไป มันมีอิสระในเนื้อหา ก็คงจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของผม 

ผมว่า มันมีข้อดีมากนะ เพราะมันจะไม่อิงเทรนด์ หรือสถานะของความดัง จะไม่ต้องมากังวลว่าผมจะเป็นพระเอก หรือตัวรอง เราจะไม่ต้องคิดตรงนั้นอีก แต่เพราะมันยังติดภาพตรงนั้นอยู่ว่า เราต้องเป็นพระเอก ฉะนั้นอิสระในการเลือกงาน ก็ยังมีกรอบอยู่ 

หากจะทำอย่างนั้นได้ มันคงต้องมีอย่างอื่นมารองรับ ผมอาจต้องเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย หรือเป็นผู้กำกับ จริงๆ แล้ว ผมอยากค่อยๆ ขยับมาเป็นเบื้องหลัง แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานแสดงไปเลย แค่ไม่อยากแสดงด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับการตลาด ไม่อยากให้คนคิดว่าจะดีต่อภาพพจน์ไหม หรือต้องเป็นพระเอกเท่านั้น 

เพราะพอมันมีอะไรให้เลือกหลากหลาย ผมก็จะสนุกขึ้น ไม่ต้องมาห่วงว่าจะมากไปน้อยไป หรือดูไม่ดีหรือเปล่า ถ้ามันหลุดพ้นจากตรงนั้นได้ มันก็ดี เพราะเราจะไม่ต้องปวดหัว หรือแบกภาระว่าหนังเราจะขายได้ไหม 

ผมอยากเป็นอย่าง เจฟฟรีย์ รัช (Geoffrey Rush) เขาดังมากนะ และอยู่ในหนังใหญ่ๆ หลายเรื่อง แต่เราจำเขาไม่ได้เลย ตั้งแต่หนังอาร์ท หนังใหญ่ อย่าง Pirates of the Caribbean , Lord of the Ring เขาเป็นนักแสดงที่ทำเพื่อตัวละครจริงๆ และจะเปลี่ยนบทบาทไปทุกครั้ง หรือ แกรี่ย์ โอลด์แมน (Gary Leonard Oldman) ผู้แสดงบทซีเรียส แบล็คในแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ 

ถ้าไปถึงขั้นนั้นก็จะดี แต่เพราะเราอยู่กันคนละวัย เรายังอยู่ในวัยที่กลุ่มคนดูของเรายังยึดว่าเราเป็นแบบนี้อยู่ พวกเขาเป็นนักแสดง ไม่ใช่โปรดักท์ และหากจะไปถึงขั้นนั้น เราคงต้องบริหารตัวเองดีๆ มั่นใจในงานและในตัวเนื้อหาที่มีมาตรฐานอยู่ 

- คุณต้องพิถีพิถันกับการตัดสินใจรับงานมากกว่าเดิม 

เมื่อก่อนเราอาจคิดแค่ว่า เอ๊ะ...มันจะซ้ำไหม เราเล่นบทจริงจังมากไปหรือเปล่า ลองเปลี่ยนไปเล่นบทเบาๆ บ้างดีไหม นั่นทำให้คนดูเห็นผมในหลายบทบาทก็จริง ถึงแม้มันจะมีความต่าง แต่ก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักเพียงอย่างเดียว มันต้องมาจากเนื้องานที่จะต้องมีคุณค่าด้วย 

ผมจะจับความรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนคนเขียนบทเลย ผมจะรู้สึกได้ว่าเขามีความจริงใจในบทนั้นหรือเปล่า มีแรงบันดาลใจอะไรในบทนั้น พอเราได้ไปคุย เจอเหตุผล รู้จุดประสงค์นั้น ผมก็จะจับความรู้สึกจากบทได้ 

แต่หลายครั้ง มันถูกเขียนมาจากโจทย์ของมาร์เก็ตติ้ง พองานที่เหมือนมือปืนรับจ้างมาเขียนมันก็จะขาดอะไรบางอย่าง ทั้งนี้ ผมไม่ได้แอนตี้การตลาดนะ แค่อยากได้คุณค่าจากสิ่งที่อยู่เนื้อในของผู้กำกับ คนเขียนบท ผมอยากเห็นความจริงใจในเนื้องานนั้นก่อน 

จริงๆ แล้ว การจะเริ่มต้นทำงานที่มีไอเดียอย่างเดียวมันลำบาก มันก็จะจับต้องยาก มันจึงต้องมีแผนงานการตลาดมารองรับ แต่อย่างไรมันก็ต้องมีมูลค่า 

ผมดูงานแล้วก็พอยืนยันได้ ถ้างานฉาบฉวย เราจะลืมมันทันที ว่าประเด็นคืออะไร มันสำคัญยังไง หรืออยากนำเสนอให้คนอื่นไปดูมากแค่ไหน เราพบความจริงใจของคนทำงานไหม ถึงมันจะไม่สมบูรณ์ทุกชิ้นก็ตาม 

ถ้าย้อนกลับไปดูงานของผมที่ผ่านมา ผมก็ยังมีปัญหากับทุกชิ้นนะ แต่เชื่อว่า ถ้าคนไปดูจะจับจุดนี้ได้ว่าเรามีจุดประสงค์อยากทำงานดีๆ ออกมาให้ดูกัน ผมว่าทุกคนที่เป็นแฟนหนัง ต้องเคยรู้สึกเหมือนโดนทุบหัวตอนออกจากโรงหนัง แบบ.. กูโดนหลอก แต่ผมยืนยันได้ว่า จะไม่มีงานชิ้นไหนของผมที่จะเป็นอย่างนั้นแน่นอน 

ถึงแม้ว่า หนังสไตล์ที่ผมชอบมันห่างไกลจากทัศนคติของคนดูเหมือนกัน คนดูมักจะถูกกล่อมให้เชื่อว่าดูหนังเพื่อความบันเทิงก่อน มากกว่าจะดูให้คิดอะไร ให้รู้สึกอะไร หรือตั้งคำถามอะไรกับสังคม 

- นั่นแสดงว่า ลึกๆ คุณอยากเปลี่ยนโลกเซลลูลอยด์ 

ไม่มีสิทธิไปเปลี่ยนนโยบายสตูดิโอหรอกครับ เพราะโจทย์ของเขาคือทำให้อยู่รอด มันเป็นพื้นฐานของธุรกิจ ซึ่งเราจะดันทุรัง หรือไปเปลี่ยนแนวคิดก็ไม่เกิดผลอะไร มันอยู่ที่เยาวชน ซึ่งผู้ใหญ่หรือรัฐต้องสร้างโปรแกรมขึ้นมา ถ้าอยากให้ผมเข้าไปช่วย ก็ยินดีมาก ถ้ามันจะทำให้พวกเขามีโอกาสทำหนังได้ง่ายขึ้น หาทุนได้ง่ายขึ้น 

เราไม่มีทางที่จะเปลี่ยนอะไรได้ทันที คงต้องเปลี่ยนเป็นเจเนอเรชั่นไป ตอนนี้แค่มีลู่ทางให้พวกเขาก็พอ เพราะการเข้าสู่วงการภาพยนตร์มันไม่ง่าย 

บ้านเราใช้ระบบ In-House ความคิดสร้างสรรค์งานที่แตกแขนงออกไปน้อย ยังกระจุกตัวอยู่ แถมส่วนมากบทบาทในโรงถ่ายใหญ่โตมากกว่าเมื่อก่อน จึงไม่มีพื้นที่ให้สิ่งอื่นๆ หรือมีพื้นที่ให้คนใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ เข้ามามากนัก 

และผมไม่ได้ใหญ่พอที่จะไปเปลี่ยนมันซะด้วยสิ แต่ให้ผมมาเสริมได้ ง่ายๆ คือเอาตัวมาเป็นบุคลากรทำหนังเด็กนักเรียนเป็นประจำอยู่แล้ว 

ผมคิดว่าข้อผิดพลาดมันเป็นเรื่องของสื่อสารนะ เพราะหลังจากที่คุยกับน้องๆ แล้วพวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อ หาทุนอย่างไร แม้จะมีบางค่ายที่สื่อออกมาว่า "ความคิดฉีก" แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิถีในองค์กรก็ยังเป็นแบบลูกพี่ลูกน้องจากสถาบันการศึกษาเดียวกันอยู่ 

- นอกจากงานแสดงแล้ว เรารู้มาว่า คุณทำธุรกิจด้วย 

ผมทำธุรกิจสตูดิโอ ผลิตหนัง และขายเฟอร์นิเจอร์ ไปด้วย ส่วนงานแสดง ผมเป็นผู้รับจ้างอิสระ เลยแบ่งเวลาง่ายกว่า พอต้องบริหารตัวเองมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ มันก็เป็นสัญชาตญาณ 

อีกอย่าง พื้นที่ตรงนี้อาจทำให้ผมได้ทำตามเป้าหมาย มีอิสระในทางเลือกอย่างที่บอก ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีธุรกิจตรงนี้แหละมารองรับ หรือถ้าผมไม่รับงานทั้งปี ผมก็ยังมีรายรับจากทางนี้ 

ส่วนวิธีบริหารธุรกิจของผม มันต้องรู้จักไลฟ์สไตล์ตัวเองว่ามีอะไรบ้าง ธุรกิจที่เราเอาเข้ามาห่างไกลจากตัวเราไหม รู้ไหมว่าต้องทำอะไร มีอะไรมารองรับ ซึ่งงานหนังมันก็วนเวียนอยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ผมขายมันก็สะท้อนตัวตนของผมออกมา มันก็ไม่ยากในการจัดการเท่าไรนัก 

แต่ที่สำคัญมันต้องมีคนดีๆ มาช่วยกันดูแล เราต้องชัดเจนว่าตัวเองเป็นอย่างไร เก่งอะไร อย่างเรื่องเงิน ทำบัญชีผมไม่ถนัดเลยต้องให้คนอื่นมาช่วย ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มีเงินในบัญชีเท่าไร เพราะผมไม่อยากใช้ชีวิตที่กดดัน 

แค่มีคนมาบอกว่า อนันดาต้องทำงานมากกว่านี้นะ ผมก็จะทำเต็มที่เลย ไม่ค่อยมีตรงกลาง เรียกว่า "จัด" มันก็ต้องทำให้สุดๆ ไม่ชอบอะไรครึ่งๆ กลางๆ ตรงนี้อาจทำให้ผมเลยดูเป็นคนจริงจังมากเกินไปรึเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) 

- นั่นสิ เราเคยได้ข่าวว่ามันทำให้คุณเป็นโรคนอนไม่หลับ ยังเป็นอยู่ไหม 

ไม่หนักเท่าเมื่อก่อนครับ ตอนนี้ผมชอบทำอะไรไปเรื่อยๆ ไม่มี Destination พยายามสนุกกับปัจจุบันให้มากขึ้น แต่เมื่อก่อนมีความต้องการเยอะ ติดนิสัยเป็น Perfectionist อยากให้ทุกอย่างดีที่สุด ปล่อยอะไรไม่ค่อยเป็น 

แต่ช่วงทำงานกับหม่อมน้อย (ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) ในหนังเรื่องชั่วฟ้าดินสลาย หม่อมให้ใช้วิธีนั่งสมาธิ มาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง เพราะเชื่อว่าถ้าจิตใจว่าง ผ่อนคลาย จะทำให้เป็นนักแสดงที่ดี โฟกัสได้มากกว่า พอมาทำอย่างนั้น หม่อมก็บอกว่าคิดให้มันง่ายเข้าไว้ พอมันทำให้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกดีในเวลาแสดง ก็เลยเอามาใช้เวลาเราอยู่ข้างนอกด้วย 

แต่ผมก็ยังมีความเป็นคนเก่าบ้าง ยังเป็นพวกหมกมุ่นกับมันอยู่ แค่สามารถจัดระบบในหัวได้มากขึ้น แล้วบอกกับตัวเองว่า อืม..ไว้ให้มันถึงเวลานั้นค่อยมาคิดใหม่ และพยายามปิดสวิตช์ให้ได้ 

แม้จะทำได้ยาก ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมนอนไม่หลับ ถึงจะไม่คิดอะไรก็ตาม หรือไม่เครียด แต่แค่การที่คิดว่าพยายามจะนอนให้หลับ พยายามคิดว่าตัวเองสบายแล้ว ยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่ ผมเลยออกไปเล่นกีฬาบ้าง รักษาสุขภาพ อย่าเครียดเกินไป พยายามเข้าใจว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างในโลกได้ 

- พร้อมรับมือกับงานต่อไปอย่างไร 

ตั้งแต่ต้นปี ผมจะเอาดนตรีมาเกี่ยวพันกับชีวิตมากขึ้น เรารู้สึกว่ามันได้ใช้สมาธิ มันน่าจะช่วยตัดสิ่งรอบข้างอื่นๆ ออกไปได้ เหมือนอ่านหนังสือ ช่วยผ่อนคลายได้ อีกอย่างครอบครัวผมไม่เคยเอาดนตรีมาเกี่ยวพันกับชีวิตมาก่อน ผมอยากรู้ว่าทำไมต้อง 1...2...3...4... ทำไมต้องเริ่มร้องตรงนี้ ร้องก่อนไม่ได้หรือ อยากเข้าใจกฎดนตรี มันท้าทายดีนะ 

ตอนนี้ ผมมองตัวเองว่าเป็นชิ้นงานที่ยังประกอบอยู่ แต่ก็เริ่มเห็นภาพสมบูรณ์รางๆ แล้ว ผมมักตั้งเป้าระยะสั้นไม่เกิน 3 ปี สักอายุ 32 ปี น่าจะอยู่ตัว ผมอาจจะเริ่มมองหาและให้ความสำคัญกับความมั่นคง ความรับผิดชอบ และมีเวลาเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ และมีอิสระในทางเลือกซะที (หัวเราะ) 




โดย: ชฎาพร นาวัลย์ 
ที่มา: bangkokbiznews.com / 24 มกราคม 2554

Views: 65

Reply to This

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service