ชัยชนะเล็กๆ ในเกมส์ สอนให้รู้จักกลไกทางอารมณ์ ที่จะข่ม ความยโส และยอมรับความสามารถของคู่ต่อสู้ แต่สุดท้าย เราก็ยังอยากจะชนะอยู่ดี

คงไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้ความจริงใจอะไรมากมาย แต่การทำงานแบบ freelance ทำให้คนหลายคนเจอสังคมน้อยลง อยู่กับส่วนเชื่อมประสาน (interface) ของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์มากขึ้น นั่งรวมๆ กันในห้องเดียวกันแต่ไปสื่อสารกับคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโล

บางที่ ตอนนั้น นับสิบปีที่แล้ว ผมยังไม่อยากเชื่อ ตอนที่ ดร. ที่เคารพมากคนหนึ่งเล่าให้ฟังเรื่องนี้ในชั้นเรียน
หลายคนอาจะเชื่อว่า ใน internet หรือใน Social Network เราอยากเป็นอะไรก็ได้ เราจะบอกใครๆ ก็ได้ว่าฉันเป็นอะไร ฉันอาจจะอยากอายุ 17 หน้าหวานใส เรียนหรือจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะชั้นนำของประเทศทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอะไรอย่างอื่น

เราอาจแต่งกายให้ดูดี ผัดหน้าขาววอกขับโดยต้าโซลูน่า เข้าร่วมอบรมการพัฒนา open source software แล้วก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ attribute ของภาษา C หรือ core file และ component ของ joomla

เปลือกของเราบน social network จะเป็นอย่างไรก็ได้ และเป็นได้มากกว่าเปลือกที่เรารทำได้ ในโลกของความเป็นจริง

ตอนนั้น นับสิบปีที่แล้ว ดร. ท่านนั้น, for God sake, สอนให้โกหก

เหตุผลก็คงมีระดับความสำคัญคล้ายกัน เมื่อเทียบเหตุผลของคนโกหกและเหตุผลของโสเภณีที่เป็นขโมย

หากแต่หลายคนพบว่า เค้าอยากมีเพื่อนที่เป็นตัวเป็นตน มองหน้า สบตา และสื่อความหมายกันด้วยสายตาปกติตามธรรมชาติ แทนที่จะยิ้มและหัวเราะกับรูปภาพอะไรก็ได้ที่ อุปโลกน์ มาใช้แทนตัวตนจริงๆ ของตัวเอง

เป็นปีๆ ที่หลายคนอาจจะเหมือนถูกขังอยู่ในโลกขนาน ตื่นมาพบความเดียวดายในตอนเที่ยง แล้วก็อาจจะเดียวดายไปหลายวัน เพราะคนในครอบครัวมีภาระหน้าที่อย่างอื่นๆ นอกบ้าน

นานหลายชั่วโมงหน้า interface ต่างๆ และ inbox จากเมล์ทั้งหลายแหล่ที่เรามี อยู่เพียงคนเดียวในบ้าน ความเหงาสอนให้เรารู้จักที่จะมีเพื่อนและยอมรับผู้อื่นมากกว่าที่จะแสดงอำนาจ (โชว์เต๊ง โชว์เหนือ โชว์เพา บ้าพลัง ว่ากันไป) และเรียกร้องที่จะมีสถานะที่เหนือกว่าคนอื่นๆ

ความเหงาเหล่านี้สร้างธุรกิจสปาให้กับสุนัขของแม่ม่ายรายได้ดี!!!!!!!!

คนฉลาดเห็นว่าความอยากเป็นผู้นำเป็นสัญชาติญาณสัตว์ไม่ต่างจาก วัว นำ เกวียน และผู้มีปัญญา ย่อมรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย

ชัยชนะเล็กๆ ในเกมส์ สอนให้รู้จักกลไกทางอารมณ์ ที่จะข่ม ความยโส และยอมรับความสามารถของคู่ต่อสู้
แต่สุดท้าย เราก็ยังอยากจะชนะอยู่ดี

Views: 295

Replies to This Discussion

เอ๊า ไหนๆ ก็ไหนๆ
ผมไม่อยากดูดีอะไรนักหนา แต่ นิยายแฟนตาซีเรื่องที่กะลัีงอ่าน พูดถึงวลีนี้ "อาเธอร์ blah blah......ข่มความยโสที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขา blah blah......"
ตัวละครเพิ่มพลังอำนาจวิเศษมากขึ้น แต่อำนาจมันเร้าใจให้เขามองเห็นเพื่อนร่วมศึกของเขาเหมือนเบี้ยที่เสียไปเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งมันก็เป็นข้อเสียของการมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย เนรมิตอะไรก็ได้

ถูกใจวลีนี้จริงๆคับ
ข่มความยโส
จิงๆ เรื่องนี้น่าจะต่อกับเรื่องนี้
ต่ออจากเรื่องนี้
ผมเดินเข้าไปในอาคารเอนกประสงค์ของมหาวิทยาลัย พื้นสนามเป็นพลาสติคสังเคราะห์ที่ทางมหาวิทยาลัยลงทุนสร้างให้นักศึกษาใช้
กวาด ตาผ่านๆเห็นเด็กสาวๆ กลุ่มนึงเล่นไล่ตะครุบอยู่ที่มุมสนามด้านนึง เด็กสาวๆ ในชุดนักศึกษาใส่กระโปรง ออกันอยู่ที่ขอบสนาม เด็กชายความสูงไล่เลี่ยกันกลุ่มหนึ่ง เล่นเกมส์แย่งชิงลูกบาสกันอย่างสนุกสนาน วัยรุ่นชายท่าทางเป็นหัวโจก ใช้วาจาและนำ้้เสียงชิงความได้เปรียบมากกว่าจะใช้เทคนิคการเล่นตามกติกา
จาก สายตาก็ประมานนี้มั้ง แต่ ตรงสนามอีกด้าน วัยรุ่นชายตัวสูงโย่ง กำลังพยายามโยนลูกบาสให้ตัวเองเพื่อเลี้ยงเข้าไปทำคะแนนโดยไม่มีฝ่ายตรงข้าม

มัน หมายถึงอะไร เด็กชายความสูงไล่เลี่ยกันกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นอยู่ที่สนามอีกข้างโดยใช้น้ำ เสียงและวาจามากกว่าเทคนิค เรื่องแบบนี้ผมเคยอ่านเจอในการ์ตูนของ ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ ความสูงเป็นความได้เปรียบในกีฬาบาส แล้วพอมีคนที่ได้เปรียบเค้ามากๆ คนที่เสียเปรียบก็รวมกลุ่มกันดันเขาออกจากกลุ่มโดยอ้างความยุติธรรม

สมัย เราอายุเท่านั้น เราถูกสอนใ้ห้ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย แทบต้องท่องทุกครั้งที่เข้าอาคารพลศึกษา ทำไมวัยรุ่นสมัยนี้แสดงพฤติกรรมกีดกัน ลักษณะนี้ และคงไม่ใช่เฉพาะวัยรุ่น
ไม่ น่าเชื่อว่าภาพนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ ในสนามกีฬา วัยรุ่นแสดงพฤติกรรมกีดกัน กำจัดคนที่มีโอกาสมากกว่าออกไปจากเกมส์การแข่งขัน ซึ่งขัดความรู้สึก
หลายเรื่องหลายอย่างที่มีการแสดงพฤติกรรมออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า การแสดงออกอย่างนั้นเป็นการแสดงพฤติกรรมของการเอาชนะ เพื่อนคนนึงเล่าว่า "ความอยากเป็นผู้นำเป็นสัญชาติญาณสัตว์" ความรู้สึกที่จะต้องเอาชนะและการแสดงพฤติกรรมของการเอาชนะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่

ผมรู้เรื่องนี้มานาน ประมานหนึ่ง อาจรู้ไม่เท่าที่นักวิชาการอื่นๆ รู้ มันเกี่ยวพันกับเรื่องของ แรงขับทางเพศ แต่ติดอยู่ที่กลไกการแสดงออกทางสังคมที่ปรับให้มีการแสดงออกของการเอาชนะและการเรียกร้องความรู้สึกเหนือกว่า

เช่นในละคร การปะทะคารมของดาราหญิงสองคนแสดงให้เห็นกลไกนี้ แม้กระทั่งกับคู่รัก ผู้หญิงก็เรียกร้องความรู้สึกเหนือกว่า ความรู้สึกที่จะเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายได้เปรียบ ทั้งๆ ที่ความจริงมันอาจเป็นการอ้างเอาตามอารมณ์โดยไม่ใช่เหตุผล ความได้เปรียบอาจหมายถึงการที่ชนะคู่ต่อสู้ได้โดยไม่ต้องฆ่า
แล้วมันก็พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ คู่กับสังคมของเรา
(มันจะย่นไปพอที่ให้เขียนไม๊เนี่ย เอิ๊กๆ)
ก่อนหน้านี้ นานพอสมควร ในอีกมหาวิทยาลัยอีกแห่ง ใกล้กัน ผมก็เห็นพฤติกรรมที่ดูแปลกๆ แบบนี้ของวัยรุ่นอีก
และเราก็เป็น ตอนสมัยที่เราอายุราวๆ นั้น
มันเหมือนความประสาทหลอน แต่ก็เหมือนกับแสงสว่างวาบที่จุดประกายให้เราไ้ด้คิด บางที มันก็อาจจะเป็นหน้าที่ดังที่เค้าบอกมา

สระแห่งนั้นถูกปูพื้นไว้ด้วยพลาสติค มีคนวิ่่งและเดินรอบสระนั้นทุกวัน ผมไปหาเพื่อนและเดินวนอยู่ในนั้นระหว่างรอเวลาให้เพื่อนมาวิ่ง เค้านัดผม

แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับเพื่อนผมหรอก เด็กวัยรุ่นคนนึง แต่งตัวด้วยชุดนักวิ่งสีแดงสด แสดงสีหน้าอาการแบบว่า มองดูชั้นสิ ชั้นวิ่งเร็วกว่าใคร วิ่งด้วยอาการที่พยายามจะให้คนที่มองดูเห็นว่า เค้าวิ่งเก่ง เค้ามองดูเด็กสาวผิวขาวเนียนเนื้อละเอียดที่วิ่งเอ๊าะเยาะห่างออกไปหนึ่งในสี่รอบ เร่งฝีเท้า เร็วขึ้น รู้สึกได้ว่าเค้าตื่นเต้น เค้าน่าจะสนใจเธอ อาจจะติดตามมานานอะไรอย่างนี้ ยิ่งใกล้ เค้าก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น

แล้ววิ่งผ่านเด็กสาวคนนั้นไปด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกสัมผัสชัยชนะ
แหมะ...ชื่นชอบที่คุณ Mangbar บรรยายมาเสียจัง
สะท้อนภาพเปรียบเทียบเรื่องการเรียกร้องความสนใจและการเอาชนะซึ่งกันได้อย่างสนุก
continue>>
ความรู้สึกสัมผัสถึงชัยชนะนั่นมันคืออะไร ความภาคภูมิใจที่ได้นำหน้า ได้รู้สึกเหนือกว่า ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น เราก็อาจเคยทำอย่างนั้น (ผมนอนเฝ้ามองดูดาวตกและอธิษฐานว่าอยากเป็นแฟนกับเพื่อนร่วมรุ่นบางคน แทนที่จะเดินเข้าไปหา แล้วก็พูดคุยกับเค้า อย่างที่แฟนของเพื่อนสาวคนนั้นทำ) การวางเงื่อนไขทางสังคมต่างๆ อาจขวางไม่ให้เราเปิดฉากสนทนา แต่เมื่อมองดู เราก็รู้สึกว่ามันงี่เง่าที่จะเอาแต่เรียกร้องความสนใจและกลายเป็นไก่ตัวผู้ที่ได้แต่ตีปีกร้องหาตัวเมีย ผมไม่แน่ใจว่าเด็กสาวคนนั้นจะตีสีหน้าหรือรู้สึกอย่างไรกับการออกอาการ "ข่ม" ของชายวัยรุ่นคนนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วถามตัวเองว่า ถ้าชอบเค้า ไหงไม่เดินเข้าไปคุยกับเค้าซะเลยวะ

มันเหมือนความประสาทหลอน แต่ก็เหมือนกับแสงสว่างวาบที่จุดประกายให้เราไ้ด้คิด ในตอนนั้น ผมนึกถึงเพื่อนอีกคนที่ชอบแต่งรถจักรยานยนต์เป็นชีวิตจิตใจ
"กูเป็นโรคจิตหว่ะ ไม่ชอบเห็นใครนำหน้า"

สองเรื่องนี้บอกอะไรผมบางอย่าง ความรู้สึกที่จะเป็นผู้นำ การได้นำหน้าคือชัยชนะ สิ่งนี้มันอยู่ในตัวเรา อยู่ในตัวเราตั้งแต่เรายังไม่ได้เข้าไปถึงไข่

ความรู้สึกที่ต้องการนำหน้ามันอยู่กับเราตั้งแต่เราเป็นเชื้ออสุจิ ต้องเป็นตัวแรกที่เข้าเจาะเปลือกไข่ เพื่อที่เราจะได้เกิดและมีชีวิตรอดต่อมา

ต้องนำหน้า

แรงขับดันอันเล็กน้อยที่สุดนี้แปรสภาพไปตามเงื่อนไขต่างๆ นาๆ ต่อมามากมายแล้วก็แสดงออกทางพฤติกรรมของการรวมกลุ่มและการเรียกร้องเพื่อสร้างเงื่อนไขทางสังคมอื่นๆ
ผมเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้นะ เพราะมันเป็นไปตามระดับขั้นความต้องการขั้นพื้นฐาน
นับจากจุดต่ำสุดไปหาจุดสูงสุดของชีวิตของมนุษย์ ดังทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์
( The Need –Hierarchy Conception of Human Motivation ) ของ Maslow
ที่จัดเรียงลำดับความต้องการของมนุษย์จากขั้นต้นไปสู่ความต้องการขั้นต่อๆไป

1. ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological needs )
2. ความต้องการความปลอดภัย ( Safety needs )
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ ( Belongingness and love needs )
4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs )
5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ( Self-actualization needs )

ถ้ามนุษย์คนใดสามารถทำสำเร็จได้ตามความต้องการทั้งหมดเหล่านี้
ปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจในความต้องการต่างๆของตนเองก็จะหมดไป
แต่ก็นั่นแล มันทำได้ยากสำหรับปุถุชนที่ยังไม่บรรลุวุฒิภาวะ
ทั้งทางด้านอารมณ์ สังคม และสิ่งเร้าแวดล้อม
สู้กันต่อไปเถิด มนุษย์ผู้หวังในการกำชัยทั้งหลาย เอาใจช่วยทุกๆท่านครับ ^^

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service