ถาม-ตอบ : ทุกอย่างเกี่ยวกับงาน wedding

ขอใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นที่สำหรับการถาม-ตอบ ปัญหา สำหรับผู้ที่สนใจอยากรู้ ทุกเรื่องทุกราวเกี่ยวกับงาน wedding ทุกกระบวนการ ทั้ง wedding ไทยเเละเทศ ไม่เพียงเเต่เรื่องการถ่ายภาพเพียงอย่างเดียว เเต่รวมถึงเรื่องอื่นๆด้วย เช่น การทำตลาด, การคุยกับลูกค้า, การทำ contract, การตั้งราคา เเละอีกหลายหลายเรื่องราวที่น่ารู้ ผมจะเริ่มตั้งคำถามเเละตอบเองก่อนในเบื้องต้น ขอเชิญผู้สนใจถามเข้ามาได้เลยครับ มีผม JEE, พี่อู๊ด Aud photo เเละ คุณตุ้ย indigo มาช่วยกับตอบ เอาเเบบจากประสบการณ์จริงๆกันไปเลย ไม่ต้องกางตำราหาหนังสืออ่านกันเเล้ว


Views: 600

Replies to This Discussion

ถาม : สนใจอยากถ่าย wedding เป็นงานอดิเรก หรือเป็นรายได้เสริม ไม่ทราบว่าควรเริ่มต้นยังไง ?

ตอบ : การถ่ายงาน wedding เป็นงานอดิเรกนั้นสามารถที่จะทำได้โดยไม่ทำให้งานประจำเสีย โดยอาจจะเริ่มต้นจากการถ่ายให้เพื่อนฝูงก่อนเพื่อฝึกประสบการณ์เเละทักษะในการใช้อุปกรณ์ให้คล่อง การรู้ขึ้นตอนในงานพิธีทุกขั้นตอน take note ว่าในเเต่ละวันเเต่ละช่วงมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เเละภาพที่ต้องถ่าย หรือภาพบังคับนั้นมีอะไรบ้าง ความรู้เเละเทคนิคที่สะสมไปเรื่อยๆ เป็นการเริ่มต้นที่ดี อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเรามาถูกทางเเล้วหรือยัง เเละการถ่ายประเภทนี้เหมาะกับเราจริงๆหรือเปล่า

การเริ่มต้นถ่าย wedding นั้นอาจเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วยก่อน หัดรู้จักสังเกตุ เเละควรจะมีคุณสมบัติที่ คิดเร็ว-ถ่ายเร็ว ซึ่งไม่ง่าย อาจต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนพอสมควร ช่างภาพ wedding หลายๆคนในนี้มีประสบการณ์มาก หลายปี จนถึงมากกว่า 20 ปี นับย้อนไปที่จุดเริ่มต้น ทุกคนล้วนต้องผ่าน "การเริ่มต้น" ลองผิด ลองถูก ด้วยกันทั้งนั้น ผมเองก็เริ่มต้นจากการทำงานฟรีเป็นเด็กยกไฟมาก่อน ดังนั้นต้องใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน

การถ่าย wedding ให้ดีนั้นไม่ง่าย เเต่หากเราจะเริ่มต้นที่การมองภาพ มองเหตุการณ์ เเละรวมถึงเทคนิคการถ่ายในเเต่ละช่วง ซึ่งงาน wedding นั้นก็จะมีความเเตกต่างกันในเเต่ละพื้นที่ เเตกต่างกันในเรื่อง culture เเละ style ซึ่งเป็นรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก

การเริ่มต้นนี้อยากให้ลืมเรื่องค่าตอบเเทนไปก่อน เรื่องเงินจะตามมาเองหากมีฝีมือดีพอ การผ่านงาน wedding มาไม่กี่งานก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะทำเป็นอาชีพได้ เเต่หากทำเป็นอาชีพเสริมหรือเป็นผู้ช่วยช่างภาพ นั้นก็เป็นความคิดที่ดี สำหรับการเริ่มต้น

ถาม : งาน wedding กับการถ่ายภาพบังคับหรือ must take กับภาพเชิง creativity เเบบไหนสำคัญกว่า

ตอบ : สำคัญคนละเเบบครับ ภาพบังคับเช่นภาพสวมเเหวน ภาพหมู่กับครอบครับ นั่นเป็นภาพที่ขาดไม่ได้ ซึ่งหากถ่ายภาพบังคับอย่างเดียวทั้งงาน ก็มีชีวิตรอดนะ เเต่อาจจะไม่รุ่ง งานถ่ายภาพ wedding เป็นงานที่ต้องใช้ creative สูง คิดเร็ว-ถ่ายเร็ว เเละต้องมั่นใจว่าได้ผล ไม่มีการถ่ายเเก้ การสังเกตุดูผู้คนในงานเเล้วประเมินจากประสบการณ์ช่างภาพเองว่าภาพเเนวไหนที่ลูกค้าจะชอบ เเละเเม้ลูกค้าจะไม่ได้ request ก็ตาม เเต่ช่างภาพควรที่จะเสนอ ภาพเหล่านี้เหมือน extra credit ให้กับตัวช่างภาพเอง รวมถึงเป็นการบอก skill ของตัวช่างภาพด้วย ลูกค้าจะรู้สึกได้เเละ relax มากขึ้น ดีกว่าการถ่ายภาพบังคับที่น่าเบื่อเพียงอย่างเดียว

ผมเองไม่ชอบถ่ายภาพบังคับเพราะมันน่าเบื่อ บางครั้งก็โยนให้ผู้ช่วยถ่ายเเทน เเต่ผมจะเป็นคน edit ช่างภาพ #2 เพียงเเค่กดชัตเตอร์ เเต่ไม่เเนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ

การสร้างสรรค์ภาพเเปลกใหม่ในเเต่ละงานนั้นไม่เหมือนกัน เเต่ละงานมันมีสถานการณ์ มีเวลา มีอารมณ์ร่วม ไม่เหมือนกัน ดังนั้นนี่เเหละคือประสบการณ์ที่ช่างภาพต้องสะสมไปเรื่อยๆ ในการสร้างสรรค์ภาพให้มีรสชาติ มีความสนุก มีชีวิต มีสีสัน ช่างภาพ wedding เองก็ทำงานไม่ต่างจาก entertainer ดีๆนี่เอง


ขอถามคนแรก ^_^
คุณ JEE ครับ รบกวนสอบถาม การทำงานในต่างประเทศ ลำดับเหตุการณ์การทำงานคุณ JEE ตั้งแต่ตอนที่ลูกค้าติดต่อ - การจองคิว - การเตรียมตัว - วันงาน - จนกระทั่งส่งงาน หรือหลังส่งงานไปแล้ว หรืออื่นๆ คุณ JEE มีกระบวนการมาตรฐานในการทำงานยังไงบ้างครับ จะได้ดูเป็นแนวทางเผื่อว่าจะนำมาปรับใช้ด้วยครับ

ขอบคุณครับ
ลำดับเเรก การติดต่อลูกค้า - ลูกค้าจะเริ่มติดต่อผมโดยทางอีเมล์เเละโทรศัพท์เพื่อถามวันว่าง เเละจะนัดเจอกันเพื่อดู portfolio เพิ่มเติมนอกเหนือที่โชว์ในเว็บไซด์ เเละพูดคุยในรายละเอียดเเละราคา ขั้นตอนนี้ผมจะนัดให้เร็วที่สุดเท่าทีจะเร็วได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้า shop around เเต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปิดการขายได้ ณ ตอนนั้นเลย จากประสบการณ์ ประมาณ 3 ได้ 1 คือเจอ 3 ราย ซื้อ 1 ราย เเต่มีบางช่วงปีที่เเล้ว จังหวะดีๆ เจอทุกราย ซื้อ(เกือบ)ทุกรายก็มี

อันดับที่ 2 จองคิว - ผมรับงานเเค่เสาร์ละคู่เท่านั้น คือวันนึงรับเเค่งานเดียว จะไม่มีการรับ 2 งานเเล้วส่งต่อให้ช่างภาพคนอื่นไปถ่ายเพื่อกินหัวคิว เพราะลูกค้าซื้อฝีมือเรา ลูกค้าต้องการผมให้ถ่ายงานเขา ให้ความสำคัญกับช่างภาพมากกว่าอย่างอื่น ดังนั้นช่างภาพต้องขายตัวเองให้มากที่สุด ดังนั้นหากเวลาที่นัดเจอกัน หากถูกชะตา งานถูกใจ ก็จองตรงนั้นเลย เขียนเช็คมัดจำจ่ายก่อนครึ่งหนึ่งตรงนั้นเลย ดังนั้นลูกค้าในเเต่ละปีผมจะไม่เยอะ อาจจะเพียงเเค่ 15-30 คู่เท่านั้น (สมัยก่อน 2004-2006 = 50-60 คู่ ต่อปี)

การเตรียมตัว - ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมากเป็นพิเศษ เพราะทุกวันนี้ทำเป็นงานประจำ มันเป็นระบบอยู่เเล้ว ก็เเค่เตรียมชาร์จเเบตล่วงหน้า 1 วัน เคลียร์ CF card เเละก็มีเช็คที่อยู่สถานที่จัดงานล่วงหน้า เช็คเวลาเดินทางว่าต้องออกจากบ้านกี่โมง การเผื่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก, เตรียมเสื้อผ้าสำรองหนึ่งชุด เเละรีดเสื้อกางเกง, เติมน้ำมันรถ, เช็คอุปกรณ์ไฟทุกชิ้น โดยเฉพาะสายไฟเเละปลั๊กต่อ

จองคิว Assistant ก็จะติดต่อล่วงหน้าหลังจากที่ลูกค้าจองคิวเเล้ว ซึ่งอาจนานถึงครึ่งปีก็มี เเต่นานกว่านั้นผมยังไม่จอง เพราะผู้ช่วยช่างภาพไม่มีความเเน่นอนหากระยะเวลาจองล่วงหน้านานไป เขาต้องการความยืดหยุ่น

วันงาน - ก่อนวันงานสัก 2-3 วันจะโทรศัพท์คุยกับลูกค้าถึงรายละเอียดอีกครั้ง ในวันงานจริงเขาจะให้เกียรติเรามาก เราจะต้องคอนโทรลขั้นตอนเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการในทุกขั้นตอน ให้พลาดน้อยที่สุด ไปถึงงานก่อนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง(หากไกล) เพื่อโหลดของเเละหาที่จอด หากไปต่างเมืองที่ต้องนั่งเครื่องหรือขับรถ ต้องไปถึงก่อนวันงานหนึ่งคืน เพื่อจะมีเวลาเช่ารถเเละออกไปดูโบสถ์ ดูสถานที่จัดเลี้ยง หากเราเตรียมตัวพร้อม การถ่ายจริงก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างเช่น มีหลายครั้งที่ต้องบินไปถ่ายต่างเมืองอย่างเช่น New Mexico, Utah, Las Vegas, LA, Arizona, Hawaii เเบบนั้นต้องไปล่วงหน้าวันครึ่ง ดังนั้นก็จะกินเวลาตั้งเเต่คืนพฤหัส กว่าจะกลับ San Fran ก็อาทิตย์เย็น เเต่งานจริงๆถ่ายวันเสาร์วันเดียว วันศุกร์เป็นวันซ้อม (ในอเมริกาส่วนใหญ่นิยมจัดงานในวันเสาร์เเละอาทิตย์กับศุกร์รองลงไป) เฉพาะงานอัฟกานิสถานเท่านั้นที่จัดเฉพาะคืนวันศุกร์ เริ่มทุ่มนึงไปจบเองตีสาม

การส่งงาน - ผมจะใช้เวลาเต็มที่เพียงเดือนเดียวสำหรับทุกอย่าง ช้าที่สุดก็คงเป็นอัลบั้มที่ต้องส่งไปทำทีี่ Italy ซึ่งใช้เวลาสองอาทิตย์สำหรับอัลบั้ม เเละอาจนานกว่านั้นหากลูกค้าไม่สามารถเลือกรูปได้ตามกำหนดเวลา เต็มที่ไม่เกินสองเดือนสำหรับอัลบั้ม ส่วน Print, Negative จะส่งให้หลังจากที่ได้รับการจ่ายเงินเต็มจำนวนเเล้วเท่านั้น ซึ่งผมจะกำหนดว่าจะต้องจ่ายช้าสุดคือวันงานหรือก่อนวันงานสองอาทิตย์ นั่นก็หมายถึง Negative ลูกค้าจะได้ภายในหนึ่งอาทิตย์หลังวันงาน

----------------

มาตราฐานผม คงเป็นเรื่องของเวลาที่ต้องให้ความสำคัญมาก อย่างอื่นก็เรื่อง Posing เเละ Picture Style ซึ่งผมจะมีเป็นเเบบฉบับเฉพาะของผมเอง เป็นรูปเเบบที่ผมคิดขึ้นเองว่าต้องมีภาพเเบบนี้ ดังนั้นเเต่ละงานออกมาก็จะมีเอกลักษณ์ส่วนตัว ซึ่งตรงนี้เเหละที่สำคัญ เป็นจุดที่ลูกค้าชอบ


ขอบคุณที่นำประสพการณ์ และ การเตรียมตัว เตรียมความพร้อมต่าง ๆ มาแบ่งปันกันครับ
อ่านแล้วได้เห็นอะไร ๆ เยอะขึ้น
อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คุณ JEE สนใจเข้ามาทำงานสายนี้คับผม ​^ ^
Accident ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจเเละไม่เคยสนใจการถ่าย Wedding มาก่อน ไม่เคยอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ บังเอิญตกงาน มีเพื่อนช่างเเต่งหน้าชวนไปทำที่สตูดิโอชื่อดังใน San Francisco ก็เลยลองดู โดยเริ่มจากทำฟรี เป็นเด็กยกไฟ ถือ reflex ก่อน หลังจากนั้นก็ได้ค่าเเรงขึ้นต่ำ เเละก็เริ่มไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มชอบเเละมีความถนัดมากขึ้น ต่อมาก็ได้เป็น full time in-house wedding photographer เเละสุดท้ายก็ลาออก มาเปิดบริษัทเองจนกระทั่งปัจจุบัน
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆคับ

จาก accident จนถึงปัจจุบันทำงานอย่างเต็มตัว
อะไรที่หล่อหลอมให้คุณ​ ​JEE เป็นตัวของตัวเองจนถึงทุกวันนี้
และคุณ JEE ฝึกฝนตนเองอย่างไรคับ

ขอบคุณมากคับ
ช่วงเเรกๆ ผมถ่ายภาพด้วยความกระหายครับ ทั้งอยากลอง อยากรู้ ทุกครั้งที่มีโอกาสผมจะเตรียมพร้อมเเละทำเต็มที่เสมอ เเม้ว่างานนั้นจะได้เงินน้อยก็ตาม เเต่พอถึงจุดนึงก็เริ่มมองเรื่อง business เป็นหลักว่าทำไงถึงจะได้เงินมากที่สุด

การฝึกฝน ผมฝึกการมองเป็นหลักครับ มองทุกอย่างที่ผ่านตา ทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบของภาพที่เราจะถ่าย รวมถึงการฝึกการคิดภาพล่วงหน้าก่อนถ่าย ซึ่งยาก เพราะเวลาถ่ายจริงมักอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ เเต่อย่างน้อยเราก็มีไอเดียอยู่ในหัวก่อนลงมือถ่ายจริง
เรื่องของการฝึกการมองคับ ผมสนใจมากเลยคับ
เหมือนคุณ JEE เคยพูดถึง การพัฒนามุมมองด้วยการดูภาพยนตร์ (ขออภัยผมจำเวบไม่ได้คับ) และการใช้เลนส์ normal
ส่วนตัวแล้ว คุณ JEE เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้อย่างไรบ้างคับ

ขอบคุณมากนะคับ (หวังว่าถามบ่อยๆคงไม่รบกวนนะคับ คุณ JEE ตอบเฉพาะตอนที่ว่างจากงานก็ได้ เกรงว่าจะรบกวน ^ ^' )
ผมเรียนด้วยตนเองครับ อาศัยที่เป็นคนช่างสังเกตุทุกสิ่งทุกอย่างก็ช่วยได้มากครับ
พี่ JEE ครับ ผมสงสัยว่า

ผมมี plan ไว้ว่าจะถ่ายภาพ ออกมาใน tone ที่ sat น้อยๆหน่อย หรือ จะภาพ tone อื่นๆ ก็ตาม ผมควรที่จะปรับตั้งให้มันเสร็จตั้งแต่หลังกล้องเลยดีกว่า หรือ ถ่ายหน้างานในสีสันที่ ปกติ(คือSat หรือ Tone ไม่ปรับมากมายนัก) แล้วจึงมี Run action ใน ps ดีครับ

(เพราะตอนนี้ผมพยายามหัดทำให้เสร็จเป็นบางส่วนตั้งแต่หลังกล้องครับ เช่น ปรับลด Sat ลง เพิ่ม WB อะไรประมาณนี้แหละ ครับ)

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service