“ฉันดีใจที่ได้ตายไปอีกหนึ่งครั้ง”
จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่เราได้ปลดเปลื้องพันธนาการของชีวิต
ปรับความทุกข์ มอบความสุข มอบรอยยิ้มอย่างจริงใจให้แก่กัน
สันติเกิดขึ้นได้ในการล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้ากับญาติมิตรที่เรารักนั้น
สันติสุขเรียบง่ายเช่นนี้ มันหายไปไหนมาเสียนานปีหนอ
แต่เพียงชั่วเสี้ยวขณะลมหายใจเข้าหรือออกของผองเรา
แต่เพียงชั่วเสี้ยวขณะของรอยยิ้มของผองเรา
แต่เพียงชั่วเสี้ยวขณะของเสียงหัวเราะของผองเรา
มัจจุราชกระทำการยิ้มเยาะอยู่ข้างข้างเราเสมอ
มัจจุราชเฝ้ามองสันตินั้นอย่างขบขัน
มันเอื้อมมือของมันหมายจะพรากเอาสันติของเราไป
แต่สันติมิอาจคว้าเอาไปได้อย่างง่ายง่าย เปล่า... มิได้คิดยื้อแต่อย่างใด
สันตินั้นเป็นนิรันดรสดใส เพียงแต่ความเขลาทำให้คนมองไม่เห็น
มัจจุราชเปล่งเสียงหัวเราะเยาะในสันติของเรา
มันยิ้มหยามอย่างสะใจที่เห็นเราเชื่อมั่นในสันติ
มัจจุราชคงอารมณ์ดี จึงเพียงแค่หยอกแหย่ให้เราได้มีสติ
มันดลความประมาทให้แก่ผองเราด้วยอุบัติเหตุอย่างตั้งใจ
และแล้ววันนี้ฉันก็ได้ตายไปอีกหนึ่งครั้ง
ฉันดีใจที่ได้ตายไปด้วยมีความรักและมีคนรัก
ฉันมิได้ตายไปด้วยความโกรธ เกลียด เคียด แค้น หรือชิงชังหลั่งไหล
ฉันดีใจที่ได้ตายไปพร้อมกับสันติสุขภายนอกและภายในอย่างมีสติ...
**********
ป.ล. บันดาลใจจากการที่ค่ำคืนนี้ (7 ก.พ. 2554) ได้เดินทางไปรับญาติมิตรผู้เป็นที่รักยิ่งจากสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี ก็ปรี่กอดทักทายกันด้วยความเปี่ยมสุขจากนั้นก็พากันไปร่วมล้อมวงกินข้าวกันประสาคนในครอบครัว การสนทนาถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบก็ดำเนินไปอย่างออกรส
เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันกลับที่พัก ก่อนที่จะมาประสบพบกันใหม่ในวันรุ่ง ผมกับน้องสาวก็เดินทางกลับด้วยการโดยสารรถแท็กซี่ ขณะที่เราสองพี่น้องกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนานและมีความสุขใจอยู่นั้น สายตาของผมได้มองออกไปภายนอกรถ ก็ได้รู้ว่าเดินทางมาถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
เพียงชั่วเสี้ยวลมหายใจเข้าหรือออก ผมก็ไม่แน่ใจนัก จู่จู่เหมือนมีใครบางคนมาผลักใบหน้าของผมให้หันขวับอย่างกะทันหัน ภาพเบื้องหน้าในตอนนั้นพลันวูบ ไม่สามารถปรับโฟกัสภาพ ไม่สามารถทำการปะติดปะต่อภาพให้ชัดเจนได้ กว่าที่สายตาจะกลับมาปรับภาพเป็นระยะชัดตื้นชัดลึกได้อีกหน ก็เมื่อคราวที่รถแท็กซี่พุ่งเข้าไปชนกับเกาะกลางถนนจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นนั่นแล
เมื่อเสียงสงบ ผมก็รีบหันไปสำรวจร่างกายของน้องสาวและรีบถามขึ้นว่าเป็นอะไรหรือไม่? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? จากนั้นก็รีบหันมาสำรวจตรวจร่างกายของตนเองดูบ้างอย่างมีสติ
ซึ่งสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ ก็เกิดมาจากการที่รถยนต์คันหนึ่งวิ่งฝ่าไฟแดง รถแท็กซี่ที่เราโดยสารกันมา จึงต้องรีบหักหลบรถยนต์คันนั้นอย่างกะทันหัน จึงส่งผลให้รถหันเหทิศทางจากกลางถนนพุ่งไปยังเกาะกลางถนนแทน นับว่ายังโชคดี ที่คนขับรถแท็กซี่ไม่ขับรถเร็วไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นผมคงไม่มีโอกาสมาเขียนบทกวีและบันทึกชิ้นนี้เป็นแน่แท้
แต่สำคัญเหนืออื่นใดเราสองพี่น้อง คนขับรถแท็กซี่ คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ ปลอดภัยดี ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใดใดครับ
แต่ที่น่าตกใจ คือ ผมกับน้องสาวออกมาจากตัวรถ เมื่อพบเห็นกับสภาพของรถแท็กซี่ด้านหน้ารถนั้นพังยับ รถเกยขึ้นไปบนเกาะกลางถนน เสยชนเข้ากับแท่นอันเป็นที่ตั้งของป้ายรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งแปลกใจที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ นับว่าโชคดีจริงจริง
ผมเขียนบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมา ก็เพื่ออยากจะสื่อว่า มัจจุราชมิได้ดลให้เกิดเหตุการณ์นี้หรอกครับ และไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ใดใดทั้งนั้นที่ทำให้เรารอดพ้นจากความตาย แต่เป็นเพราะว่าคนขับรถแท็กซี่ขับรถด้วยความเร็วไม่มากนัก และสาเหตุสำคัญเป็นเพราะการกระทำอย่างประมาทของคนคนหนึ่งนั่นเองที่ทำให้พวกเราต้องประสบกับอุบัติเหตุในหนนี้ และมันยังสามารถส่งผลทำให้คนอีกหลายคน อีกหลายชีวิตอาจดับสูญไปได้ ถ้าคนประมาทคนนั้นยังคงไร้ความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เพียงเพื่อให้ตนเองได้รับความสะดวกรวดเร็วอย่างเห็นแก่ตัวอยู่เช่นนั้น
ฉะนั้นแล้ว ขอให้ผองเพื่อนร่วมสังคมและร่วมโลกทั้งหลาย อย่าได้ตั้งตนอยู่บนความประมาทเลยครับ ในทุกทุกเรื่องนะครับ มิใช่เพียงเรื่องการขับรถ ทั้งเรื่องชีวิตส่วนตน ชีวิตคู่ ชีวิตรัก การเรียน การงาน การสังคม การเมือง ฯลฯ หากท่านประมาทกระทำการใดใดโดยไร้ความใส่ใจในผลกระทบที่อาจมีต่อผู้อื่น การกระทำนั้นของท่านสามารถส่งผลขยายวงกว้างไปได้อย่างคาดไม่ถึง
ครับ...
ผมดีใจจริงจริง
ที่ได้ตายไปอีกหนึ่งครั้ง
โดยการตายไปจากความประมาท
ไปเกิดใหม่สู่ความไม่ประมาท...
Tags:
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by