ทุกข์เกิดที่ใจ ให้ดับที่ใจตอน 3 "โลกภายใน"

เป็นไปได้ไหมว่า สิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิต นั้น มีอยู่ 2 ส่วน

ส่วนแรก คือ ถ้วยแก้วบางๆที่ยังไม่คงรูป 1 ใบ
อีกส่วนคือ พื้นที่ว่าง ด้านใน

ตลอดขั้นตอนของการเติบโต ...
ผู้ใหญ่ และ สังคม สอนให้เราเพิ่มความหนาของแก้ว ไปเรื่อยๆ...
บางที ก็เปลี่ยนสีสัน ตกแต่งรูปร่างให้ผิดเพี้ยนไป ...
วัสดุ ชนิดต่างๆ ถูกนำมาพอก มาโปะ มาเคลือบ ...
มากั้น เป็นเกราะ เป็นกำแพง เป็น หน้ากาก ...

บ้างเติมน้ำ หลากสี หลายกลิ่น หวังให้มัน สวยงาม และคงทน ...
บางที เราก็เผลอ ล่วงเกินพื้นที่ด้านใน ด้วยการเพิ่มขอบแก้ว ล้ำเข้ามา...ล้ำเข้ามา

จนพื้นที่ว่างค่อยๆของโลกอีกใบ ค่อยๆลดลง

คำถามคือ เราทำไปด้วย ความกลัว หรือเพื่ออะไรกัน ?
ทำไมต้องผลิตซ้ำ ทั้งๆที่ เราแตกต่างกัน ?

พวกเรา ล้วนเคยเป็นดอกไม้น้อยๆ ที่แสนบอบบาง และ อ่อนแอ แต่ทว่า งดงาม...
ความรักที่บริสุทธิ์นั้น บอบบาง อ่อนโยน และไม่เที่ยงแท้ คงทน ...
สายลมที่สดชื่น เพียงพัดผ่านมา แล้วก็จากไป …

นั่นทำให้เรา "กลัว" จนจับใจ กับความไม่แน่นอนนั้น
และสิ่งที่สร้าง ขึ้นจากความกลัว ก็ได้กลายเป็นขอบแก้ว อันหนาทึบ

เราสร้างดอกไม้ ประดิษฐ์ ขึ้นมา
...แต่เมื่อนั้น ชีวิตชีวา ก็จะตายไป

เรากดดัน ความรักบริสุทธิ์ ..ด้วยการอ้างสิทธิ เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ในทุกวิธี
....แต่เมื่อนั้น ความรักแท้ ก็จะหายไป

เรากักขัง สายลม บริสุทธิ์ ไว้ในห้อง
...แต่เมื่อนั้น สายลมก็กลายเป็นเพียงความอับทึบ

ฉันเชื่อว่า ความกลัว สามารถหายไปได้..

แต่ไม่สลายไป ด้วยอาการดื้อดึง หรือความคิด ที่จะจัดระเบียบ
สิ่งที่อาจเป็นได้ ก็ด้วย ศิโรราบ และ ความกลมกลืนกับสัจธรรม
สัจธรรม ของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

" เราไม่สามารถข้ามผ่าน สายน้ำเดิมได้ "

ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน
แต่ละวินาที สายน้ำเปลี่ยนแปลงไป
แต่ละวินาที ตัวเราก็ เปลี่ยนไป เฉกเช่นกัน

นี่คือ หัวใจของสัจธรรม / สัจธรรมก็คือ เปลี่ยนไป
( ขอยกย่อง คนแต่งเพลง " เปลี่ยน " ของคุณคณาคำ อภิรดี )
เวลาที่แท้จริง มีเพียง ชั่วขณะปัจจุบัน

สิ่งทั้งหลายที่เรากลัวนั้นอยู่ที่ อนาคต เนื่องเพระอดีตเคยเตือนไว้เช่นนั้น
แต่ไม่ใช่ใน ปัจจุบัน

ดอกไม้น้อยๆ ไม่เคยสนใจว่า มันจะต้องเหี่ยวเฉาในสักวัน

ดอกไม้น้อยๆ ไม่เคยอวดอ้างความสวยงาม แก่ใครๆ...
จึงเบ่งบานได้ แม้ในป่าลึกซึ่งไร้ผู้คน

ดอกไม้น้อยๆ ไม่เคยมีความเกรงกลัวต่อโลกภายนอก ...
นั่นเป็นเพราะ พื้นที่ภายใน ของดอกไม้น้อยนั้น บริบูรณ์ และ ขยายขึ้นทุกขณะที่เบ่งบาน

ดอกไม้น้อยไม่เคยเข้าใจว่า มันจะสร้างกำแพง สร้างหน้ากาก ขึ้นมาเพื่อสิ่งใด
ในเมื่อสุดท้ายแล้ว สัจธรรม ก็จะแสดงตัว ไม่ทางใด ก็ทางหนี่ง
ถึงความ แปรเปลี่ยน เป็นทุกข์ และ ไร้ซึ่งตัวตน ...

เมื่อ ดอกไม้ ไม่มีความ หวาดกลัว ขอบแก้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องหนาเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกันกับที่ ความรัก ความปล่อยวาง และ ปัจจุบันขณะ
ค่อยๆ เบ่งบาน ขึ้นภายใน...

พื้นที่ว่าง ของแก้วใบน้อย ก็ค่อยๆ กว้างใหญ่ขึ้น
จนมีช่วงขณะหนึ่ง ที่แก้วบางใสนั้น ค่อยๆ ร้าว และ แตกกระจายออก

ขณะนั้นเอง ที่ดอกไม้น้อย ได้รู้ว่า พื้นที่ว่างนั้น ไร้ประมาณและไพศาล เพียงใด
และ อันที่จริง มันก็อยู่ตรงนั้น อย่างซื่อสัตย์ มาตั้งนานแล้ว

" น้ำเพียงหยดเดียว ทำอย่างไร ไม่ให้เหือดแห้ง
คำตอบคือ ต้องเทมันลงสู่ทะเล "

" หลายสิ่ง ควรละทิ้ง เพื่อการเรียนรู้
หลายสิ่ง ควรยึดถือไว้ เพื่อการละทิ้ง "

จากหนังเรื่อง Samsara ( แปลว่า สังสารวัฎ )

สำหรับฉันแล้ว ชีวิต มีทางเลือกเสมอ…

การเป็นดอกไม้น้อย ไม่ยากนัก
ไม่ต้องไปบวช ไม่ต้องไหว้เบญจางคประดิษฐ์ ได้สวยงาม
เพียงแค่ " รู้ " เท่าทัน ปัจจุบันขณะ ด้วยสติ ก็เพียงพอ
( สามารถหาอ่าน หลักวิปัสสนา ได้จากหนังสือ ธรรมะมากมาย เช่นของ หลวงพ่อ
ปราโมชย์ หรือ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก หรือจะ ฮาร์ดคอ ขึ้นอีกนิด ก็อ่านของ
ท่านพุทธทาส หรือ หลวงพ่อชา เลยก็ได้ แล้วแต่จริต ของแต่ละคนค่ะ )

ที่เหลือ ก็แค่ใช้ชีวิตประจำวันไปด้วยสติ แล้ว " รอคอย " เพราะความจริงแท้
ไม่สามารถประดิษฐ์ให้เป็นไปได้

รอ ให้พื้นที่ว่างภายในแก้ว ค่อยๆ แผ่ ขยายออก โดยใช้สิ่งขับเคลื่อนที่เรียกว่า
" แรงบันดาลใจ ความรัก และความปล่อยวาง "
ไม่ใช่ สิ่งที่เกาะเกี่ยวแน่นหนา ยึดเราไว้ให้ตายด้าน ด้วย " ความกลัว "
( การที่เราจะไม่กลัวได้ คือมีชีวิตผ่องใสตามธรรมชาติอันปรกติ
นั่นก็คือ ให้มี ศีล รักษากายใจ จากกิเลส สารพัดนั่นเอง)

แน่นอนว่า เมื่อเราไม่สร้างเกราะ สร้างหน้ากาก ไปตามสังคม ผลิตซ้ำ
ก็ย่อมต้องเจ็บปวด และไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านบ้าง -__-"

แต่มันก็คุ้ม ไม่ใช่เหรอ กับการได้ รู้จักกับโลกภายในอันไพศาล
( โลกภายใน ของฉันนั้น มีขนาดเท่าๆ กับโลกที่เราเห็นข้างนอกนั่นแหละ
มีดวงดาว มีดวงจันทร์ เป็นของตัวเอง...
มีเสียงเพลง Improvise ไม่รู้จบ ...
มีบทกวี เป็นหางว่าว...
มีดอกไม้ที่ไม่มีวันร่วงโรย แถมยังเปลี่ยนสีเองได้ ตามใจเรา...
ยังจำได้กันไหมคะ ว่าโลกภายใน ของคุณ นั้น เป็นแบบไหน ^^ )


ร่างกาย อาจดับสูญไปเป็น ธรรมดา แต่พื้นที่ว่างในแก้วบางนั้
หากสามารถ กลายเป็นอากาศทั้งหมดแล้ว
นั่นอาจคือ นิรันดร์ ที่ซึ่งแก้วเปล่าไม่เคย มีอยู่… กระนั้นแล้ว

ความตาย จากร่างกาย นั้นจะน่ากลัว ได้อย่างไร ??
ในเมื่อโลกภายนั้น ไม่เคยตาย

ลอง แวะ เข้า ไป ดู ...

_____________________________________________________________________

บทความนี้ ได้ Raw Material มาจาก

ภาพวาด ของ จ่าง แซ่ตั้ง
ภาพแก้วน้ำที่ไม่มีเส้น จะมีก็เพียงตัวอักษรเล็กๆ ต่อเนื่องกัน
ที่ขอบแก้ว เขียนว่า คน คน คน เรียงๆ กันจนเป็นรูปขอบแก้ว
ในแก้ว มีน้ำ เขียนว่า ชีวิต ชีวิต ชีวิต จนได้ครึ่งแก้ว
และสุดท้าย มีหลอดดูด เขียนว่า เวลา เวลา เวลา
( พยายามหาภาพแล้ว แต่ไม่เจอ T__T )

และ บทความใน Internet เรื่องเกี่ยวกับการเติม สิ่งต่างๆ ลงไปในแก้วน้ำในชีวิต ว่าอะไร สำคัญ และ อะไร สำคัญกว่า …

และ หนังสือ อีกหลายเล่ม ของ โอโช
ซึ่งอาจซึมอยู่ในกระแสไซแนป ของเนื้อสมองสองซีก อย่างบอกไม่ถูกว่า มาจากส่วนใดของหนังสือเล่มไหน >br/>
และสุดท้าย เมื่อวานนี้ ฉันได้อ่าน งานเขียนของ เชอเกียม ตรุงปะ / วัชราจารย์ ชาวทิเบต / แปลโดย คุณวิจักขณ์ พานิช

ทั้งหมดข้างต้น หล่อหลอมเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดบทความนี้
-v- ขอบพระคุณค่ะ


Read more: http://www.portfolios.net/group/writers/forum/topics/2988839:Topic:610485#ixzz0nlqZGNQS

Views: 228

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

Comment by RAYNUN on May 18, 2010 at 4:49pm
อ่าน คอมเม้นต์ แล้วมีแรง ^^
Comment by Nattawutty on May 17, 2010 at 9:18am
บทความตอนที่ 3 นี้เปิดโลกทัศน์ทาง สติ ปัญญา ให้ผมมากทีเดียว เม่งจื้อ เคยกล่าวไว้ว่า
"นี่เราฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันว่าเป็นเรา"
แม้นคำกล่าวนี้จะมีนัย ลึกซึ้งในแง่สัจธรรม แต่สำหรับผม
"มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็น "เรา" อยู่ต่างหาก"

" น้ำเพียงหยดเดียว ทำอย่างไร ไม่ให้เหือดแห้ง คำตอบคือ ต้องเทมันลงสู่ทะเล "
นั้นคือความจริง และความจริงอีกประการคือนำ้ในทะเลไ่ม่มีวันเหือดแห้งหรือ

คำตอบนี้ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าตอบในแง่ วัฎฎะ แล้วผมเชื่อว่าสักวันมันต้องแห้ง
ตราบใดที่เรายังต้องเกิดมาและได้พบกับนามธรรมและรูปธรรม
ที่เรียกว่า "หยดน้ำ" หรือ "ทะเล"

ความงดงามและโหดร้าย รวมทั้งความเศร้า หรือบริสุทธิ์ ล้วนแล้วแต่เกิดจากเรายึดถือว่าเป็นเรา
โดยเราใช้ อายตนะ ไปเสพสิ่งเหล่านั้น เพราะเรายังยึด ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ เป็นเครื่องรู้ในสมมติ

คำถามคือเราควรละทิ้งหรือเพิกเฉยต่อ เครื่องรู้ที่ได้รับมาหรือไม่
ผมก็คิดว่า "ไม่" เพราะสมมติเค้าก็มีในทางสมมติ
ดอกไม้น้อย บริสุทธิ์และสวยงามในป่าลึก จะไม่ปรากฎขึ้นที่ใด "นอกจากที่ใจเราเท่านั้น"

พื้นที่ในโลกภายใน บางทีก็ใหญ่กว่าภายนอก บางทีก็เล็กกว่าภายนอก
อยู่ที่ขณะจิตนั้นๆ

เสียงเพลง improvise นั้นดังอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกแบบนั้นนะ (ยกเว้นเวลา จิตตก)
เราเพียงมี "สติ" ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป (ซึ่งทำยากมาก)

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ งดงามมากครับ
ผมจะติดตามต่อไป

"ให้สิ่งนั้นเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ"

iWUTTY

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service