1

ข้าพเจ้าไม่เชื่อในเรื่องของการกลับชาติมาเกิด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านี้
ใครบางคนบอกว่ามันคือกรรมเก่าที่เกิดมาแต่ปางก่อน

มีใครบางคนบอกว่า ข้าพเจ้าทำตัวเหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้
คนพวกนั้นให้เหตุผลว่าเพราะใบหน้าของข้าพเจ้าดูเครียด
แต่ข้าพเจ้าก็โต้แย้ง เมื่อมาลองสำรวจตัวเองอีกที
มันอาจจะเป็นจริงก็ได้ ที่ความทุกข์ของข้าพเจ้าเกิดมาจากกรรมเก่า
เดาว่าชาติที่แล้วข้าพเจ้าเป็น ปลาอานนท์ ที่ใช้หลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้
ชาตินี้จึงได้รับความทุกข์มากกว่าคนอื่นเขา
หน้าตาข้าพเจ้าจึงบอกพะยี่ห้อของคนเคยแบกโลก

เรื่องชาติที่แล้วจะจริงหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่รู้ได้
แต่ที่แน่ๆ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ณ ตอนนี้ข้าพเจ้ามีความทุกข์อย่างแน่นอน
ไหนจะ บ้านไฟไหม้ แถมลูกเมียก็ต้องมาตาย
ทรัพย์สินก็ไม่มีเหลือ และญาติพี่น้องก็หาได้แยแส

ยิ่งนานวันเข้า ข้าพเจ้าก็หาทนทุกข์ได้นาน
ข้าพเจ้าจึงครุ่นคิดหาวิธีที่จะปลดเปลื้องมันออกจากใจ
เคยได้ยินว่า มีผู้รู้ผู้หนึ่งตั้งอาศรมอยู่อย่างวิเวกในป่าหลังเขา
แวบหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดว่า ท่านผู้นี้แล
คือผู้ที่จะชี้ทางสว่างให้กับข้าพเจ้าได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางหาท่านผู้รู้


2

เมื่อมาถึงอาศรม
ข้าพเจ้าเห็นชายสูงอายุนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกริมระเบียง
ข้างกายมีชายหนุ่มท่าทางคงแก่เรียนคอยปรนนิบัติอยู่
ข้าพเจ้าเดาว่านั่นแลคือ ท่านผู้รู้และข้างกายนั่นคงเป็นศิษย์
เมื่อคิดได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตะโกนบอกเหตุผลที่มายังอาศรมว่าต้องการอะไร
เมื่อท่านผู้รู้ได้ทราบถึงความต้องการของข้าพเจ้า
จึงเรียกข้าพเจ้าให้ขึ้นมาสนทนากับท่านยังข้า่งบนระเยียงที่ท่านอยู่
ได้ิยินดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเดินตามคำพูดนั้นไปอย่างว่าง่าย

เมื่อถึงยังระเบียง ท่านผู้รู้ก็หันเก้าอี้โยกที่ท่านนั่งมาทางข้าพเจ้า
แล้วท่าน ก็ถามข้าพเจ้าทันที ถึงสิ่งใดที่ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านชี้แนะ
ข้าพเจ้าไม่รอช้า จึงถามถึงในสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะรู้ทันที


“เหตุใดเล่า ท่านเมธี ข้าพเจ้าถึงได้มีทุกข์เข็ญลำเค็ญใจได้มากมายถึงเพียงนี้”

“โอ้ ท่านผู้พากเพียรเอ๋ย ทุกข์นั้นคือ กรรม ของท่านแล”


“เหตุใดเล่า ท่านเมธี ตลอดชีวิตข้าพเจ้านั้น ประพฤติดี ประพฤติชอบตลอดมา

หาได้เคยเบียดเบียนผู้ใดไม่ แล้วเหตุใดเล่าข้าพเจ้าจึงได้มีทุกข์เข็ญลำเค็ญใจได้มากมายถึงเพียงนี้”


“โอ้ ท่านผู้พากเพียรเอ๋ย ทุกข์นั้นแล เปรียบเหมือนดั่งลมฟ้า

ท่านหาคาดเดาได้ไม่ ว่าวันนี้จะร้อน วันนี้จะหนาว
ฉันท์ใดฉันท์นั้น ทุกข์เล่าจะหาต่างกับลมฟ้าไม่”


“แล้วข้าพเจ้าจะทำอย่างไรได้ เพื่อจะหาทางพ้นจากความทุกข์เข็ญลำเค็ญใจที่มากมายถึงเพียงนี้ได้เล่าท่านเมธี”


“โอ้ ท่านผู้พากเพียรเอ๋ย แล้วท่านจะหาทางหลีกหนีทุกข์ให้เหนื่อยกาย เหนื่อยใจให้เสียเวลาทำไม
อันเพราะทุกข์นั้นเป็นเพียงขันธ์ทั้งหลายเท่านั้น หาได้จีรังยั่งยืนไม่
…..เพราะทุกสิ่งนั้นล้วนเป็น อนิจจัง เพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปก็เท่านั้น
และอันทุกข์นี้ ก็หาได้มีตัวตนไม่ ดังนั้นอันทุกข์นี้จึงเป็น อนัตตา”


“โอ้ท่านเมธี สิ่งที่ท่านชี้แนะให้กับข้าพเจ้า ช่างดูยากเกินกว่าสติปัญญาของข้าพเจ้าจะเข้าใจได้
แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อเหลือเกินว่า นี้แลคือหนทางที่จะทำให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์จากเรื่องนี้
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอรบกวนเวลาท่านเมธีแต่เพียงเท่านี้ จำต้องขอลาไปก่อน”


เมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำอำลาเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็ทำการคารวะท่านผู้รู้แทนคำขอบคุณ
จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินทางกลับบ้านทันที พร้อมกับแบกคำสงสัยกลับไปด้วย


3

หลังจากชายผู้มีทุกข์กลับไปแล้ว
ศิษย์ของท่านผู้รู้ที่คอยสังเกตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ก็ถามท่านผู้รู้ว่า
“อาจารย์ ท่านคิดว่า ผู้พากเพียรจะเข้าใจและหาคำตอบได้หรือไม่”
ท่านผู้รู้ยิ้มที่มุมปาก แล้วก็ตอบว่า
“ช่างหัวมัน”

Views: 72

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service