การต่อสู้กับความอยาก

คนเราเกิดมาพร้อมกับจุดอ่อนและข้อด้อยที่ต่างกันไปคะ
นอกจากจุดอ่อนของฉัันที่เห็นจากภายนอก...
เป็นความอ้วนท้วนเกิดมนุษย์ผู้หญิงแล้ว
ภายในจิตใต้สำนึกของฉันยังมีจุดอ่อนอีกอย่างนึงคะ
จุดอ่อนของฉันคือ “ความอยาก”
แม้จะรู้ว่านี่เป็นลักษณะนิสัยธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทั่วๆไป
แต่ฉันกลับคิดว่าความอยากของฉันบางครั้ง
มันเกินความพอดีไป(มาก)
แต่ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากพอ
ทุกครั้งที่ฉันมีความปรารถนา ทะยานอยาก
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่
(ส่วนใหญ่แทบจะทั้งหมดเป็นความอยากเกี่ยวกับการช้อปปิ้งคะ)
ฉันต้องพยามเอามาเป็นของฉันให้ได้
ข้อดีของความอยากของฉันคงจะมีเพียงอย่างเดียวคือ
ฉันยังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง
ไม่เคยอยากได้คนของใครหรือของของใครคะ
ความอยากของฉันบางทีมันก็ไม่เตือนล่วงหน้านะคะ
เช่นบางทีเดินทะเล่อทะล่าไปตามแหล่งช้อปปิ้ง
รู้ตัวอีกทีก็ปรากฏว่าฉันมีข้าวของถืออยู่ในมือเต็มไปหมด
พร้อมกับสภาพเงินในกระเป๋าลดลงไปอย่างน่าใจหาย
เหมือนกับว่าต่อมความคิดยับยั้งชั่งใจของฉัน...
มันหยุดทำงานไปเสียดื้อๆ
แล้วฉันก็เห็นตัวเองเข้าไปยืนอยู่ในร้านเหล่านั้น
อย่างเพลิดเพลินและคิดว่าตัวเองมีความสุขคะ
'คิดว่ามีความสุข' (เป็นคำที่ดูเหมือนไม่น่ากลัว แต่น่ากลัวนะคะ)

ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันมักจะได้ในสิ่งที่ฉันต้องการเสมอคะ
โดยอาจแบ่งแยกได้เป็นสองส่วนคือสิ่งที่ได้จากพ่อและแม่
นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากได้และอยู่บนเหตุผลของความจำเป็น
ที่มันต้องมีคะ เช่นกระเป๋านักเรียน ร้องเท้านักเรียน คอร์สเรียนพิเศษ
ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความอยากของตัวฉันเอง
ซึ่งเน้นความอยากที่เกิดจากเพื่อนๆคะ (ฉันไม่ได้โทษเพื่อนทั้งหมดนะคะ)
วัยรุ่นเวลาที่เค้าทำอะไร เราก็มักจะทำตามๆกันใช่ไหมคะ
อีกส่วนก็เกิดจากความปรารถนาดีของผู้เป็นพ่อและแม่คะ
พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากให้ลูกเป็นคนเก่ง
เป็นคนฉลาดเท่าทันเพื่อนๆ
ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่จะสนับสนุนในส่วนนี้ได้
ตามกำลังพ่อแม่ของฉันก็จะทำคะ

ดังนั้นความต้องการในแบบแรกนั้นจึงถือว่า...
เป็นความต้องการที่สมหวังกันทั้งสองฝ่ายคะ
และฉันก็เชื่อว่าถึงแม้ว่าฉันจะไมได้เรียนเก่งมาก
แต่ท่านก็คงไม่ผิดหวังในตัวฉันแน่นอน
ความอยากแบบที่สองนี่สิคะเป็นเรื่องลำบากของฉัน
เพราะบางทีฉันจะรู้ว่ามันช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี
ไม่มีก็ไม่เห็นจะขาดลมหายใจ
แต่เพียงแต่ก็ยังมีจิตใต้สำนึกบางอย่างสั่งคะ
มันสั่งว่า “เธอต้องไปหามาให้ได้สิ มันจำเป็นนะ”
แม้ว่าจริงๆแล้วความฉลาดของฉัน (ซึ่งมีบ้าง)
ก็แอบค้านว่า “มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุนะเมิง”

คุณๆรู้กันใช่ไหมคะ
ในการต่อสู้ของจิตใต้สำนึกทั้งสองฝ่าย .... ฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะ?
ถ้านึกคำตอบไม่ออก รบกวนมาดูสมบัติบ้าที่บ้านฉันได้คะ
ตอนนี้บางอย่างกองอยู่อย่างไม่รู้อนาคต -*-







แต่มาบัดนี้ฉันรู้วิธีต่อกรกับความอยากของฉันแล้วคะ





ก็ฉันอุตส่าห์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาทั้งที่นี่คะ
(นี่ยังไม่รวมถึงพี่นก ผู้ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่สำคัญในการค้นพบครั้งนี้นะคะ)
ฉันในอายุเท่านี้ (เท่าไหร่เก็บไว้เป็นความลับแล้วกันนะคะ)
ก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับวิธีปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆคะ
ซึ่งก็มีทั้งแบบที่ถูกจริตและไม่ถูกจริตนะคะ
จริงๆฉันไม่รู้ว่าฉันเรียกถูกหรือเปล่าคะ
วิธีที่ว่านี้คือ “วิปัสสนากรรมฐาน” หรือการฝึกเรียก “สติ”
มาใช้ให้เป็นปะโยชน์ได้ในการดำเนินชีวิต
แบบปกติทุกวันและทุกเวลาคะ
เหมือนที่หลวงพ่อปราโมทย์บอกว่า
“ให้โยมฝึกดูจิตตัวเองและตามรู้ตามดูอย่างสม่ำเสมอ” คะ
(ถ้าใครเคยได้ฟังซีดีของท่านหรือได้มีโอกาสไปนมัสการท่านจะอ่านแล้วนึกมโนภาพเป็นเสียงหลวงพ่อก็ไม่ว่ากันนะคะ)
การฝึกตัวเองให้มีสติอยู่เสมอเป็นเรื่องไม่ยาก
แต่ก็ไม่ง่ายเลยคะสำหรับคนที่มีกิเลสหนาเตอะ
เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างฉัน
แต่อาศัยใช้หลักความเชื่อส่วนตัวว่า...
ถ้าเราลองได้รับสารแบบไหนมากๆก็จะทำได้เองคะ
เหมือนที่เรียนภาษาอังกฤษเค้าก็ว่าให้ดูหนังซาวด์แทร๊ก
(ห้ามขี้โกงอ่านตัวหนังสือนะคะ)
หรือ ฟังเพลง,ดูรายการโทรทัศน์ภาษาอังกฤษ
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากความซึมซับและความเคยชิน
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของมนุษย์อย่างฉันคะ

การฝึกตัวเองแบบนี้จะสามารถรู้เท่าทันความคิด
และความต้องการของตัวเองคะ
ทำให้จิตไม่ส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆมากนัก
เมื่อฝึกถึงระยะหนึ่งแล้วจะทำให้รับรู้สิ่งต่างๆไปตามความเป็นจริงคะ
(ซึ่งปกติฉันก็ยอมรับความจริงได้ส่วนหนึ่งแต่นั่นเพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของคนอื่น ฉันยอมรับคนอื่นได้ดีคะ)
แ้ล้วเราก็จะเข้าใจและรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง
ที่ปรุงแต่งมาเพื่อสนองความต้องการว่ามันพอใจหรือไม่พอใจ
รวมถึงรู้ไปถึงต้นตอซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดความทุกข์ต่างๆนั้นด้วยคะ
และเมื่อเรารู้เท่าทันตัวเองแบบนั้นแล้ว
เราก็ย่อมรู้วิธีสกัดกั้นมันได้ใช่ไหมคะ


เยสสสสสสสสสสส!!!!!!!!



แรกๆฉันก็ฝึกตัวเองโดยอาศัยดูความไม่เที่ยง
ความไม่แน่นอนของชีวิตตัวเองไปมาคะ
แต่ดูเหมือนว่าฉันจะเห็นความไม่เที่ยงของชีวิตคนอื่นได้ดีกว่า
ตามนิสัยพวกสนใจเรื่องชาวบ้านจนเป็นงานหลักของเรา(ส่วนใหญ่)
การฝึกสติเป็น “ปัจจัตตัง” หมายถึงว่า “รู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น”
ฉันเลยแอบคิดว่าสติของตัวเองพอใช้ได้อยู่
และฉันก็แน่ใจว่าตัวเองรู้ความรู้สึก
ยามที่ก้าวเดินแบบมีสตินั้นเป็นอย่างไร
สติทีี่ฉันเคยคิดว่ามีมานานนับหนาตั้งแต่เด็กนั้น
กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลย
เพราะเวลาที่จิตของฉันนิ่งในปัจจุบันนั้น
ฉันจะรู้สึกเหมือนฉันนอนดูตัวเองอยู่ในหนังโรงใหญ่
และฉันก็ใช้มันมองความอยากของฉันคะ


ใช่แล้วคะ เรื่องสนุกในการวิปัสสนาของฉัน
ก็คือการได้ใช้สติมาชักกะเย่อกับความอยากของฉันนี่แหละคะ
;P

อาการอยากของฉันจะมีลำดับขั้น
เท่าที่ฉันส้งเกตง่ายๆตามลำดับต่อไปนี้คะ
เริ่มจากการเดินเรื่อยเปื่อยไ้ร้จุดมุ่งหมาย
จนเกิดอาการเลือดสูบฉีดอย่างหนัก
และมีความตั้องตาต้องใจกับสิ่งที่ฉันเห็น
จากนั้นก็เกิดความอยากรู้อยากลองคะ
ประมาณว่าถ้าอยากได้เสื้อ
ก็จะอยากรู้จังว่าเนื้อผ้านี่มันเป็นแบบไหนกันนะ
ฉันจะใส่ได้ไหม
ใส่แล้วจะสวยหรือไม่
จากนั้นฉันก็จะซื้อคะ
ควักเงินแบบไม่มีการต่อรองอะไรใดๆทั้งสิ้น

แต่ช้าก่อน...








เนื่องจากฉันฝึกตัวเองมาแล้วในระดับหนึ่งนี่คะ
ฉันเลยสังเกตตัวเองได้อีกหน่อยจากความอยากของฉัน
ฉันเห็นอาการอยากของฉันเป็นความเบาสบายปนความหนักอึ้งคะ
แต่พอความคิอและสติรู้เท่าทันแล้ว
ความอยากก็หายไปซะอย่างนั้น
คอยเตือนตัวเองว่า “อยากอยู่นะ นั่นแน่!!!!”
และบางครั้งฉันก็ลองแอบเผลอ
ทำเป็นจับไม่ไ่ด้บ้างเพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้ชีวิตคะ


ปล่อยให้ความอยากมัน “ย่ามใจ” ไปก่อนคะ







พอความอยากมันคิดว่าเอาฉันอยู่แน่แล้ว
จนเป็นเงามืดครอบคลุมจนเกือบมิดภายในใจฉัน
จนจะต้องควักเงินออกมาจากกระเป๋าได้โดยง่าย
ฉันก็ออกไปโผล่จ๊ะเอ๋ให้มันตกใจเ่่ล่น
















แบร่ๆๆๆๆๆๆๆ
แบร่ๆๆๆๆๆๆๆ
แบร่ๆๆๆๆๆๆๆ







แล้วมันก็จากไปแบบตกอกตกใจเช่นเดียวกัน
แหะๆก็บอกแล้วไงคะว่าความอยากมันย่ามใจอยู่



แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ต้องขอสารภาพแบบแบไต๋
ให้ทุกคนฟังว่า...
ผู้ที่ “ย่ามใจ"ยังไม่ใช่ความอยากทุกครั้งไปหรอกนะคะ
ฉันยังไม่เก่งถึงขั้นจะชนะมันได้ตลอดเวลาคะ




เราผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะคะ
ซึ่งฉันแพ้เป็นส่วนใหญ่ซะด้วยสิ :P

Views: 69

Comments are closed for this blog post

Comment by indigo on April 8, 2009 at 10:39pm
สู้กับใจตัวเอง กิเลสตัวเอง เนี่ยชนะยากมากๆ ...แต่แค่โผล่หน้าไปจ๊ะเอ๋ให้ย่ามใจตกใจเล่นๆได้ก็ถือว่าเก่งแล้วครับ อาจจะไม่ค่อยสบายใจ(ที่ได้ตาม)เท่าไร แต่สบายกระเป๋าแน่ๆ ... ผมก็แพ้ส่วนใหญ่ด้วย (หลายครั้งแพ้น๊อกด้วย 555+) ^_^

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service