ชั่วโมงศิลปะ / ป.2 / ครั้งแรกที่เราพบกัน

 

เอ่อออออ.. ที่จริง.. มันไม่ใช่ความประทับใจอะไรเมื่อเราเห็นภาพดอกทานตะวันของเธอที่อยู่บนสมุดวาดเขียนของเรา บอกตามตรงว่ามันไม่ได้ดูสวยอะไรตรงไหน ออกจะมั่วๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ.. ขณะที่เรากำลังพยายามมองหาความสวยของมัน คุณครูก็แนะนำให้เรารู้จักเธอ "แวนโก๊ะ" ชื่อของเธอทำให้เราคิดถึงป้าแก่ๆ คนหนึ่งที่ใส่แว่นหนาเตอะ (ก่อนภายหลังเราจะรู้ว่าเธอเป็นลุงแก่โรคจิตที่มีใบหูข้างเดียวและพยายามยิง ตัวตาย -- แต่ไม่ตาย แถมยังสามารถกระเสือกกะสนกลับบ้านได้อีก -- อื่ม.. ช่างพยายามเหลือเกิน)

 

เมื่อดอกทานตะวันในแจกันนั่นไม่น่าสนใจเท่ากับกับรูปปั้นสาวสวย(ที่แม้จะแขนด้วน)ของเพื่อนที่โต๊ะข้างๆ เราก็เลยขอแลกสมุดวาดเขียนเล่มนั้นกับเพื่อนแทน..

 

..

 

ปีสาม / ชั้นเรียนวิชา "การซาบซึ้งศิลปะ" / อีกครั้งที่เราพบกัน

 

บ่ายวันหนึ่งหลังหม่ำข้าวกลางวันเสร็จ.. ขณะที่เรากำลังหลับเสียงสะอื้น ร้องไห้ของใครบางคนปลุกเราให้สะดุ้งตื่น.. เรา งัวเงีย ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงง บนจอโปรเจคเตอร์เป็นภาพภาพหนึ่งที่ดูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่.. อาจารย์กำลังพยายามอธิบายความงามของมันพร้อมกับสะอื้นไปด้วยโดยมีเสียงเพลง คลอเบาๆ

 

บ้าไปแล้ว.. เราคิด.. จะมีท้องฟ้าที่ไหนในโลกเป็นแบบนี้บ้าง

 

..

 

มีนาคม 2005 / Arles เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

 

อากาศที่อบอุ่นบอกการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ.. ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีฟ้าสดใสเกือบตลอดทั้งปี เราเดินเล่นถ่ายรูปไปตามตรอกเล็กๆ ในเมืองก่อนที่จะหยุดยืนที่หน้าตึกหลังหนึ่งเพื่อหลบแดด

โดยไม่ทันตั้งใจ เราเหลือบไปเห็นป้ายผ้าที่แขวนอยู่เขียนว่า "ห้องเช่าของแวนโก๊ะ"

 

โอ้ววว.. ม่ายยย.. ฉับพลัน.. ภาพนั่นก็แว้บมา..

 

จะมีใครบ้าหลับตาลงในห้องนั้น.. นอกจากคนสติไม่ดี

 

..

 

เราใช้เวลาว่างจากการเรียนไปที่ Arles บ่อยมาก

ใครหลายคนเคยถามเราว่าทำไมเราถึงมาที่นี่ซ้ำๆ ทั้งๆ ที่เป็นเมืองเล็กๆ และ.. ไม่มีอะไร

 

ซาก โบราณ ตึกรามบ้านช่อง ตรอกซอกซอยเล็กๆ ถนนหิน วิหารประจำเมือง สนามกีฬาโรมัน

บรรยากาศ ยามเย็นริมแม่น้ำโรน จตุรัสกลางเมือง ร้านอาหารพื้นบ้าน ร้านกาแฟยามค่ำคืน

ที่ที่ผู้คนเดินช้าและชาวเมืองยิ้มแย้มให้กัน .. แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ เราหลงรักเมืองเล็กๆ เมืองนี้

 

..

 

ที่สวนฤดูร้อนในเมือง Arles มีอนุสรณ์ตั้งอยู่เพื่อเป็นเกียรติกับแวนโก๊ะ..

ที่สถานีรถไฟประจำเมืองมีแผ่นป้ายสลักข้อความระบุวันที่เดินทางมาถึง.. 

สำหรับเมืองเล็กๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีศิลปินที่ยิ่งใหญ่เคยใช้ชีวิตอยู่คงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน..

 

เราแวะส่งโปสการด์หาเพื่อนคน หนึ่งที่เราไม่เคยได้พบหน้า..

หวังว่าสักวันเราคงจะได้มานั่งจิบกาแฟ คุยกันที่นี่ยามค่ำคืน

 

..

 

มกราคม 2006 / National Gallery, London ประเทศอังกฤษ

 

กว่าสามอาทิตย์ที่เราใช้เวลาฝ่าฟันเดินทางมาถึงที่นี่ ในช่วงเทศกาลปีใหม่และการลดราคาสินค้าแม้กระทั่งคนที่ไม่ชอบซื้อของอย่างเรา ก็ยังติดอยู่บนถนนด้วยการเดินออกร้านโน้นร้านนี้ อาจจะจริงเหมือนที่นโปเลียนว่า "อังกฤษ ก็คือ ประเทศของบรรดาเจ้าของร้านขายของ"

 

..

 

หากลูฟเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะวัตถุที่ดีที่สุดในโลก บริติชมิวเซียมก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสะสมศิลปะวัตถุชาติอื่นๆ ไว้ได้เยอะไม่แพ้กัน แต่สำหรับที่หอศิลป์แห่งนี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป

 

..

 

ภาพเขียนเป็นศิลปะที่เป็นสากลที่สุดที่ไม่ได้แบ่งแยก ชาติเชื้อและผิวพรรณ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจของศิลปิน บางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถเสแสร้งได้ เช่น กับ ภาษาในงานเขียน แต่เป็นสิ่งที่แสดงความเป็นตัวตนของผู้สร้างขึ้นมาอย่างชัดเจน

 

..

 

เราเดินดูภาพแต่ละภาพเรียงตามยุคต่างๆ จนมาหยุดที่ภาพภาพหนึ่งที่เต็มไปด้วยสีเหลือง ส้ม และวิธีการระบายของฝีแปรงเลอะๆ ที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจ เหมือนกับเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมาหลายสิบปี.. ดอกทานตะวันนั่น..เป็นดอกเดียวกับที่อยู่บนสมุดวาดเขียนนั้นตอนป.สอง น่าแปลกที่ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

 

..

 

เรามองภาพเก้าอี้ที่มีไปป์กับวางเส้นที่อยู่ใกล้ๆ กัน..มันฟังดูตลกดีที่ใครบางคนจะวาดภาพเก้าอี้ ปูสองตัว หรือ ห้องนอนห้องหนึ่งเพื่อขายเลี้ยงชีพ แต่อย่างที่เค้าว่า.. ภาพหนึ่งภาพแทนคำนับล้านคำและมันก็มีเรื่องราวอยู่ข้างหลังภาพนั้น เก้าอี้ของสองตัวที่แตกต่างกันแสดงถึงความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงทางความคิด และความสนใจ และท้ายที่สุด.. มันก็นำมาถึงโศกนาฎกรรม

 

..

 

เราไม่แน่ใจว่ายืนมองภาพนั้นอยู่นานเท่าไหร่.. ภาพของเธอไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนไหว สงบ หรือ สบายใจ กลับกัน.. ฝีแปรงของเธอทั้งหนักและรุนแรง อารมณ์ ความรู้สึก บางสิ่งบางอย่างนั้นอาจจะถูกถ่ายทอดออกมาโดยไม่รู้ตัว สีที่หนาเตอะเพราะไม่มีเงินพอที่จะซื้อผ้าใบใหม่จึงทำให้ต้องวาดภาพทับลงไปเรื่อยๆ เราคิดถึงสนามกีฬาโรมันที่อยู่นอกหน้าต่างห้องนอน บางที.. มันอาจจะถูกวาดทับเป็นภาพภาพหนึ่งหรือไม่ก็ถูกไฟเผาไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

 

..

 

เราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป.. เป็นเวลานานหลายปีที่เราตัดสินคนคนหนึ่งจากภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็น เมื่อโลกยังคงหมุนรอบตัวเอง.. และ.. ตัวตนของเธอเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถเข้าใจ.. 

 

.. ใครๆ ก็รู้ว่าแวนโก๊ะตัดหูตัวเอง..แต่จะมีใครสักคนรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นหูข้างไหน..

 

หลายสิบปีที่ในการค้นหาตัวเอง ความพยายาม และการเผชิญกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน -- จะมีใครบ้างที่ออกจากรพ.บ้าแล้วกลับมาวาดรูปได้อีกครั้ง.. -- บางที.. ถ้าแวนโก๊ะไม่ยิงตัวตายไป โลกคงมีเรื่องราวมากมายให้จดจำมากกว่านี้

 

..

 

ธันวาคม 2009 / MoMa - พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่, New York สหรัฐอเมริกา

 

มีสองสิ่งที่นำ ให้เรามายืนอยู่ที่นี่.. และหนึ่งในนั้น คือภาพภาพนี้ที่อยู่ตรงหน้าเรา

 

 

 

Starry, starry night.Paint your palette blue and grey,Look out on a summer's day,With eyes that know the darkness in my soul.Shadows on the hills,Sketch the trees and the daffodils,Catch the breeze and the winter chills,In colors on the snowy linen land.

 

Starry, starry night.Flaming flowers that brightly blaze,Swirling clouds in violet haze,Reflect in Vincent's eyes of china blue.Colors changing hue, morning field of amber grain,Weathered faces lined in pain,Are soothed beneath the artist's loving hand.

 

Starry, starry night.Portraits hung in empty halls,Frameless head on nameless walls,With eyes that watch the world and can't forget.Like the strangers that you've met,The ragged men in the ragged clothes,The silver thorn of bloody rose,Lie crushed and broken on the virgin snow.

 

 

 

เราคิดถึงช่วงเวลาที่นั่น..

 

บางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่ภาพถ่ายที่เสมือนจริงที่สุดก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้..

 

เราไม่อาจรู้สึกถึงสายลมที่สัมผัสกาย..

 

แสงของดวงดาว หรือ ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างของความงามยามค่ำคืน

 

วินาทีนั้น.. เรายอมรับโดยดุษฎีว่าภาพของเธอมันเหมือนกับมีชีวิต

 

ถ้าพูดเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น.. มันก็คงเหมือนกับเราได้กลิ่นหอมของดอกไม้และสายลมที่พัดผ่าน

 

..

 

นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราจ้องมองภาพนั่น..

จนกระทั่งนักท่องเที่ยวคนหนึ่งสะกิดให้เราเขยิบออกไปเพื่อที่จะได้ถ่ายรูป

ถ้าให้จัดลำดับพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่วุ่นวายที่สุดในโลก.. ที่นี่คงได้อันดับสองรองจากลูฟ

-lol-

 

..

 

เราเดินออกจากพิพิธภัณฑ์เมื่อเสียงประกาศบอกใกล้เวลาปิด.. ภายนอกคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว.. บรรยากาศของช่วงเวลาแห่งความสุขของเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ใครบางคนเคยบอกว่า.. นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี

 

..เสียดาย.. ที่เรากลับใช้ช่วงเวลานี้เพียงลำพัง..

 

บางครั้งที่เรารู้สึกแย่ๆ และบ่อยครั้งที่เรามักมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ไม่ว่ากลอน นิทาน ตำนาน หรือ ความเชื่อไหนๆ ก็เปรียบเทียบช่วงเวลาของค่ำคืน คือ ความมืดมิด สิ้นหวัง

กลับกัน.. เธอกลับบอกเราว่า.. ราตรีนั้นเต็มไปด้วยสีสัน..

 

นั่นสิ.. ท้องฟ้านั่นเกิดจากการผสมสีต่างๆ มากมายรวมเข้าด้วยกัน..

 

เรายิ้ม..

 

..

 

ไม่รู้ว่ามันเป็นการเล่นกล หรือ มุขตลกของโชคชะตาหรือเปล่า..

ในเมืองที่เต็มไปป่าคอนกรีต ด้วยความเจริญสูงสุดทางวัตถุ เครื่องบินที่มีจำนวนมากกว่าดวงดาว ไฟจากป้ายโฆษณาที่สามารถบดบังแสงจันทร์ ตึกสูงเสียดฟ้าที่บดบังความงามของท้องฟ้ายามค่ำคืน.. ยังมีที่หนึ่งที่เราสามารถมองเห็นความงามของราตรีประดับดาว..

 

For they could not love you,

But still your love was true.

And when no hope was left in sight

On that starry, starry night,

You took your life, as lovers often do.

 

But I could have told you, Vincent..

This world was never meant for one as beautiful as you.

 

......

Views: 841

Comment

You need to be a member of PORTFOLIOS*NET to add comments!

Join PORTFOLIOS*NET

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service