“เจ้ากามเอ๋ย”
เจ้ากามเอ๋ย เมื่อครั้งที่ฉันยังไร้เดียงสา ฉันหารู้ไม่ว่าเจ้าเป็นอย่างไร
อันอาหารปรุงเลิศรส ซึ่งบิดาและมารดาป้อนอยู่ทุกเมื่อ ด้วยเอ็นดูใส่ใจ
อันเครื่องนุ่งห่มแลน่ารัก ซึ่งผู้อันเป็นที่รักมอบสวมใส่
อันของเล่นนานา ซึ่งญาติกาสรรหามาให้
นับวัน ฉันถูกปลูกฝังให้ใฝ่หาในวัตถุกาม โดยไม่รู้ตัว
เจ้ากามเอ๋ย ครั้นเติบใหญ่ ฉันก็ยังคงไร้เดียงสา
ฉันยิ่งใคร่ อยากได้ในสิ่งนานา
คิดครอง พึงใจจอง หมกมุ่นหวังปอง ไม่รู้ละ
ฉันจึงถูกไฟแห่งเจ้า แผดเผามาเป็นระยะ
นับวัน ฉันก็ยิ่งไร้เดียงสา ยิ่งใฝ่เจ้า ฉันก็ยิ่งไร้ปัญญา เขลาลง
เจ้ากามเอ๋ย คราวนี้แล คราวปัจจุบันของชีวิต
ฉันติดใจในกิเลสกาม ใคร่ใกล้ชิด
ฉันใคร่ในเสน่หา มักใฝ่อยู่เป็นนิจ
ฉันผูกใจในตัณหา เข้าขั้นเสพติด
ฉันคิด ยึดมันมั่น ไฟแห่งเจ้าก็ยิ่งสันดาปแรง
เจ้ากามเอ๋ย บัดนี้ฉันเริ่มแจ้งแล้ว เจ้าคือกามสุขแห่งปุถุชน
สุขเลอะเทอะ สุขหมักหมม สุขเร่าร้อน สุขไม่คงทน
แม้นรู้ดังนี้ ฉันก็ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือใฝ่เจ้า ยังติดบ่วง ยังหลงกล
ฉันยังคงไร้เดียงสา แม้นเกิดมานานป่านนี้ ก็ยังหลงยินยล
เจ้ากามเอ๋ย ฉันจะต่อสู้กับเจ้าอย่างไรหนอ จึงจะไม่ยึดติดในเจ้าไปจนวันตาย
*“นี่แน่ะกาม เราเห็นรากเหง้าของเจ้าแล้ว ว่าเจ้าเกิดขึ้นมาจากความดำริ
เราจักไม่ดำริถึงเจ้าละ เจ้าก็จักไม่มี...”
ถ้อยความอันงดงามของผู้บรรลุธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สืบมาตามกระแสกาล สองพันห้าร้อยห้าสิบสามปี
ฉันจักนำวิถีงามนี้แลมาปฏิบัติ เพื่อจะต่อกรกับเจ้า เจ้ากามเอ๋ย...
*********
*หมายเหตุ : พุทธพจน์ที่นำมาอ้างอิงนี้ อ้างอิงมาจากหนังสือ พุทธธรรม
เขียนโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) หน้า 533
Tags:
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by