เล็บมือนาง

 

 

ปุด...ปุด...ปุด...ปุด...เอ๊ะ!?

อวลเอ๋ย อวลกลิ่นพิศุทธิ์ล่องลอยมาตามสายลมสุดนุ่มนิ่ม

กลิ่นใดกันช่างสดชื่นได้ถึงเพียงนี้

จึงขอละการคิดบทกวีไว้สักหลายนาที

ขอตามไปพิสูจน์ทราบกลิ่นเพื่อจะสดุดีกลิ่นนี้ ณ บัด now

 

โอ...ทราบชัด ทราบจนแจ่ม

กลิ่นของนางอัปสรจำแลงมาสถิตอยู่บนผืนดินโลกมนุษย์นั่นเองที่ขจรขจาย

บุปผที่มีนามว่าเล็บมือนางส่งกลิ่นยวนให้ลุ่มหลง

หากนางเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน จักขอแต่งงานอยู่กินด้วยกันให้ยืนยง

จะได้ดอมดมกลิ่นนางตราบชั่วกายสลายไปจากกัน

 

คิกๆ...มนุษย์หนอมนุษย์ผู้โง่เขลา

หลงก็เพียงรูปกาย การสัมผัส กลิ่น เสียง อันยั่ว

พึงใจไม่เคยพอ มักมากในสิ่งหอมใหม่ แล้วมุ่งไปเกลือกกลั้ว

หลงฉันแล้วอย่างไร ไม่นานเจ้าก็หลงในสิ่งหอมใหม่อีก ไม่รู้จบ

 

คุณพระช่วย! ดอกไม้พูดได้!?!

 

คิกๆ...มนุษย์หนอมนุษย์ผู้โง่เขลา

ทุกสรรพสิ่งตามธรรมชาติล้วนมีชีวิต เจ้ารู้ดี เจ้ารู้ดี เจ้ารู้ดี

แม้จะมีสปีชีส์ที่ต่างกัน แต่เจ้าย่อมรู้ดีว่าทุกสรรพชีวิตมีคุณค่า

อีกไม่นานเกินนาทีดอกหนา มนุษย์จำพวกเจ้าจักฆ่ากันเองอย่างไม่รู้ค่า

อีกไม่นานเกินสองนาทีดอกหนา มนุษย์จำพวกเจ้าจักฆ่าธรรมชาติอย่างคลั่งบ้า

และอีกไม่นานเกินสามนาทีดอกหนา มนุษย์จำพวกเจ้าจักสูญสียน้ำตาในสิ่งที่ได้กระทำ

คิกๆ...มนุษย์หนอมนุษย์ผู้โง่เขลา

 

พระเจ้าช่วย! ดอกไม้ทำการเทศนา!?!

 

อีดอกเล็บมือนางชั้นต่ำ

เอ็งมันก็แค่ดอกไม้ให้กลิ่นหอม

เอ็งมันก็แค่ดอกไม้ให้รูปสีชมพู น่าสัมผัสจับต้อง

เอ็งมันก็แค่ดอกไม้มีไว้ให้เสพชม เหี่ยวแห้งแล้วก็ถูกจับโยนออกนอกห้อง

เอ็งมันก็แค่ดอกไม้ บังอาจมาเทศนาสั่งสอนมนุษย์ได้อย่างไรกัน ชิชะ!

ภาพหลอนนี้คงเป็นผลมาจากกัญชาที่ข้าเสพสินะ?

ฮ่าๆๆๆ...ดอกไม้มันจะพูดได้อย่างไรกันเล่า เจ้าโง่!

 

กวีผู้นั้นใช้มือของตนขยำ กำ แล้วกระชากพวงดอกเล็บมือนางร่วงหล่นออกจากต้น

จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่ไยดี เพื่อกลับไปเสพกัญชาแล้วเขียนบทกวีดาดๆต่อไป

 

คิกๆ...มนุษย์หนอมนุษย์ผู้โง่เขลา

ดอกเล็บมือนางที่ร่วงหล่นอยู่กับพื้น ฟื้นกล่าวประโยคเดิมอีกหน

 

แม้เธอจะตกลงสู่ที่ต่ำ

แต่กลิ่นหอมพิศุทธิ์ของเธอนั้นก็ยังคงล่องลอยกระจายไปตามสายลม

เพื่อส่งกลิ่นหอมให้ผู้ที่รู้ค่าได้ดอมดมกลิ่นงามของเธอ

กลิ่นนั้นล่องลอยขึ้นไปยังที่สูงเสมอ กลิ่นของเธอยังคงหอมบริสุทธิ์และงดงาม...

 

 

 **********

 

 

อธิบายการอ่านบทกวีเบื้องต้น...
 
การอ่านบทกวีก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนที่จะตีความครับ
บทกวีมันมีเสน่ห์ก็ที่ตรงนี้ ตีความไปได้ไม่รู้จบ
อ่านรอบแรกตีความได้อย่างหนึ่ง
อ่านอีกรอบอาจตีความไปได้อีกอย่าง
อ่านอีกหลายๆรอบก็ตีความไปได้อีกหลายแง่มุม
บทกวีมักตั้งคำถาม กระตุ้นความคิดได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยไม่ปิดโอกาสหรือยัดเยียดความคิด
ซึ่งแต่ละคนก็ตีความไม่เหมือนกันในการอ่านบทกวีบทหนึ่งๆ

เพราะคุณค่าของบทกวีอยู่ที่พลังทางความคิด จังหวะของคำ
การใช้ภาษา วรรณศิลป์ เนื้อหา กลวิธีการนำเสนอ
ซึ่งผู้อ่านจะได้อรรถรสในการอ่านก็ที่ตรงนี้

บทกวีไม่เหมือนกับปรัชญา เพราะปรัชญาต้องว่าด้วยหลักแห่งความรู้
ความจริง คุณธรรม และความงาม ตรงไปตรงมา ว่าด้วยความรู้ล้วนๆ
กล่าวง่ายๆได้ว่าเน้นทางด้านตรรก ว่าด้วยเหตุและผล
แต่บทกวีมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่า

ดังนั้นผู้อ่านจะตีความไปอย่างไรนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์และภูมิรู้ของแต่ละคนครับ
ไม่มีผิด ไม่มีถูก
ผู้เขียนไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้ผู้อ่านต้องเชื่อตาม ^^

 

Views: 52

© 2009-2025   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service