“มิติลี้ลับ”
...นี่ฉันกำลังอยู่ที่ไหน?
ป่ารกชัฏที่ดูเหมือนป่าในสมัยดึกดำบรรพ์มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่!?! เกิดมีแผ่นดินไหวขึ้นในประเทศไทย!!!
จู่ๆธรณีก็แยกออก แล้วสูบเอาร่างของฉันตกลงไปในห้วงแห่งมิติอันลี้ลับ...
“สวัสดีอ้ายหนุ่ม ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งกวี”
ชายชราสวมแว่นตาหนาเตอะ รูปร่างผอมแห้งพูดขึ้น
“อเมริกา...เมื่อไหร่กูจะแลกซื้อสินค้าได้ด้วยหน้าตาที่แลดูดี?”
เขาพูดอะไร ฉันงุนงง
“กูจะไม่เขียนบทกวีอีกต่อไป จนกว่ากูจะอารมณ์ดี”
เขาพูดต่อไป แล้วจึงหยุด
“มึงพูดอะไรของมึงวะไอ้แก่!”
ชายวัยกลางคนพูดสวน ขัดคอ
“คิดมากไปไยเล่าหนา มาเสพโอสถหลอน แล้วร่ายบทกลอนในมิติหลอนกันดีกว่า”
ชายวัยกลางคนพูดชักชวน พลางสยายผมยาวสะบัดพลิ้ว
“อย่าไว้ใจมนุษย์ มันยากสุดลึกล้ำเหลือกำหนด...”
ชายชราหัวล้านคนหนึ่งร่ายกลอน ขณะที่ค่อยๆเดินออกมาจากที่ลับ
“ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน...”
เขาหลับตาพริ้ม แล้วยิ้มหวานส่งมาให้ฉัน ก่อนเดินหายจากไป
“อะไรของมันวะ!?”
ชายวัยกลางคนผมยาวสยายคนนั้น บัดนี้นัยน์ตาเยิ้มเป็นประกายพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์
“อ้ายหนุ่ม! มานี่หน่อยสิ”
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเรียกฉัน
“วานเจ้าช่วยส่งจดหมายรักฉบับนี้ให้จูเลียตสุดที่รักของข้าสักหน่อยเถิด”
เขาไหว้วานกับฉันด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“อย่าได้รับเป็นอันขาด เนื้อหาโศกนาฏกรรม โลกียสุขเยี่ยงนั้น ไร้ประโยชน์ต่อเจ้า”
สมณะรูปหนึ่งพูดเตือนฉัน จากนั้นก็ร่ายบทกลอนสอนใจให้แก่กัน
“ความเอ๋ย ความสุข
ใครๆทุกคน ชอบเจ้า วิ่งเข้าหา
แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา
แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยิ่งแคลงใจ
ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา เราก็ ‘สุก’ หรือเกรียมได้
เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น หรือสุขไหม้ ให้แน่เอย ฯ ”
ร่ายบทกลอนนั้นจบลง สมณะรูปนั้นก็ถือไม้เท้าคลำทางเดินหายลับไป
“เชอะ!...พระคอมมิวนิสต์”
เปรตตนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ทางด้านหลัง พูดโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงอันโหยหวนน่าเกลียดน่ากลัว
“อ้ายหนุ่มเอ๋ย เจ้าจงตื่นจากนิทรานี้เถิด...”
เสียงปริศนาที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ ผุดเขามาในจิตของฉัน
หลังจากนั้นจึงตื่นขึ้น หลุดออกมาจากมิติลี้ลับ
“ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงการร่ายบทกวี จากกวีที่ก้าวร้าว นิยมความรุนแรง เกรี้ยวกราด
ยังคงกู่ก้องร้องตะโกนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง นับวันความรุนแรงยิ่งจะทวีคูณ...
**********
ป.ล. กวีทั้งนั้นเลยที่ถูกระบุอยู่ในมิติลี้ลับนั้น
คนแรกที่เอ่ยทัก คือ Alan Ginsberg (อลัน กินส์เบิร์ก ) กวีหัวก้าวหน้าชาวอเมริกัน
คนที่สอง คือ Jim Morrison (จิม มอร์ริสัน) นักร้องนำวง THE DOORS
คนที่สาม คือ ท่านสุนทรภู่
คนที่สี่ คือ เช็คสเปียร์
คนที่ห้า คือ ท่านพุทธทาส
คนที่หก เสียงปริศนา คือใคร ขอละไว้ให้ตีความเอาเองละกัน...
หากผู้ใดที่รู้จักบุคคลเหล่านี้ ต่างก็จะทราบกันดีว่าทุกๆคนล้วนเป็นกวีทั้งนั้น
แต่กวีที่ชาวกวีรุ่นหลังควรเอาแบบอย่างนั้น ควรจะเป็นใครกัน ก็เลือกกันเอาเองเถิด...
ส่วนเนื้อหาในตอนจบ หากเรายึดตามการฝึกปฏิบัติชีวิตกวี ตามอย่างท่านพุทธทาส
ปัญหาโลกธรรมที่เราต้องพบเจอดังเช่นนั้น มันไม่สามารถบั่นทอนจิตใจเราได้
ถ้าเรามีจิตใจที่หนักแน่น และเข้าใจความเป็นไปของโลกธรรมดีพอ
บทกวีนี้มันอาจจะดูลึกไปหน่อย แต่ถ้าผู้อ่านตีความให้สนุกสนานตามภูมิความรู้ที่ตนเองมี
ก็จะอ่านได้สนุกสนานยิ่งๆขึ้นครับ ^^
Tags:
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by