รักเหงา ๆ กลางฤดูร้อน (อาจจะลงช้าไปสักหน่อย เพราะนี่มันเข้าหน้าฝนและ) ^^

เอางานเก่าที่เคยเขียนลงนิตยสาร Grosho มาแปะ ก่อนเขียนงานใหม่ครับช่วยติชมด้วยนะครับ

รักเหงา ๆ กลางฤดูร้อน


ความรักของผมเกิดขึ้นในวันหนึ่งกลางฤดูร้อน มันเป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวสำหรับผม แม้มันเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ และไม่เร่าร้อนเหมือนคู่อื่น แต่มันก็เป็นรักแรกที่สุดแสนประทับใจ  ความรัก...
ที่ทำให้ผมไม่อยากให้ลมหายใจสุดท้ายของผมหลุดลอยไป...  


 


1.


ผมชื่อไมค์ครับ ผมอาจจะไม่หล่อเหลามากมายนัก แต่ก็มีเชื้อสายต่างประเทศกับเขาเหมือนกันนะครับ แม่ผมน่ะสวยแบบสาวไทยแท้ ส่วนพ่อก็เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล พ่อผมน่ะหล่อขนาดได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วมากมาย
แต่ด้วยความต่างทางชนชั้น ความรักของแม่เลยถูกกีดกัน เหมือนนิยายน้ำเน่าไม่มีผิด
นี่แหละครับที่เค้ามักบอกว่าชีวิตจริงน่ะมันยิ่งกว่านิยาย
ทุกครั้งที่แม่เล่าเรื่องพ่อให้ฟัง ตาของแม่จะแจ่มใส เป็นประกาย ผมว่าแม่คงรักพ่อมาก
แต่สำหรับผม ไม่รู้สิ ผมไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าพ่อนี่นา
การจะทำใจให้รักคนที่เราไม่เคยเห็นคงจะลำบาก ตอนเด็ก ๆ แม่เคยพาผมไปยืนดักรอพ่อที่หน้าบ้านพ่อเหมือนกัน
แม่อยากให้ผมได้เห็นพ่อสักครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของพ่อ หรือแม้แต่คนในบ้านนั้น
มีแต่ลุงยามที่คอยออกมาไล่ผมกับแม่ ทำไมเค้าถึงรังเกียจเรานักนะ
พวกผู้ดีก็อย่างนี้แหละ ชอบคิดว่าตนอยู่สูงกว่าคนอื่น


ช่างมันเถอะ สมัยนี้ใคร ๆ ก็เป็นแบบผมทั้งนั้น แม่ผมน่ะจัดอยู่ในประเภท  Single
mom
 เพื่อน ๆ ผมเองก็น้อยนักที่จะอยู่กันพร้อมหน้าครอบครัว
แม่ผมเลี้ยงผมได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร ผมไม่แคร์หรอก ไอ้ครอบครัวสมบูรณ์แบบน่ะ  


แต่ท้ายที่สุด แม่ก็จากผมไป แม่ตายในค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ แม่กอดผมไว้เพื่อให้ผมอบอุ่น ในขณะที่แม่หนาวจนสั่น ผมรับรู้ได้จากอกอุ่น ๆ ที่สั่นเทิ้มของแม่ ผมอุ่น
แต่แม่หนาวจนขาดใจ


หลังจากแม่ตายชีวิตผมก็เรื่อยเปื่อย ชิว ๆ  วัน ๆ ก็เดินปากเปราะหลีหญิงไปทั่ว แต่ผมไม่เคยมั่วนะครับ แม่สอนว่าของแบบนี้ มันมีเวลาของมัน เมื่อถึงเวลาของผม
ผมจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็จริงอย่างแม่ว่า เพราะถึงแม้น้องแตงกวาสาวท้ายซอยจะยั่วยวนผมสักเท่าไหร่
แต่ผมก็ไม่เคยมีอารมณ์ร่วมไปกับเธอ มีบ้างบางครั้งที่ผมเผลอไผลไปกับอาการส่ายสะโพกเชิญชวนของเจ้าหล่อน
แต่มันก็เท่านั้นแหละครับ มันยังไม่ถึงเวลาของผม ผมท่องคำแม่สอนไว้เสมอ


ผมมักจะไปนั่งประจำอยู่ที่ร้านป้าติ๋มปากซอย ป้าติ๋มแกเป็นคนใจดี อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูก ผัวแกก็ทิ้งแกไปนานแล้ว อาจเป็นเพราะอย่างนี้ก็ได้ แกจึงเอ็นดูผมมาตั้งแต่ผมยังเล็ก เมื่อแม่ตาย
ผมก็มีแกนี่แหละเป็นที่พึ่ง แกมักจะให้ข้าวผมกินฟรีอยู่เสมอ
ผมเองก็รักและเคารพแกมากเช่นกัน


พล่ามมามากแล้วเข้าเรื่องความรักของผมดีกว่า ในที่สุด ผมก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ น้องอิม เมื่อแรกพบเธอ ผมรู้ได้โดยทันทีว่า เวลาของผมมาถึงแล้ว ฮอร์โมนเพศในร่างกายผมเริ่มทำงาน
อวัยวะส่วนที่บ่งบอกว่าผมเป็นเพศผู้เริ่มมีปฏิกิริยาแปลก ๆ
แบบที่มันไม่เคยเป็นมาก่อน


โอ้... น้องอิมของผม  น้องอิม...


 


2.


          น้องอิมของผม เธอสวย น่ารัก ขาว หมวย พิมพ์นิยมของผมเลยครับท่าน  เราพบกันในเช้าวันหนึ่งต้นเดือนเมษายน ขณะที่ผมนั่งเล่นอยู่ที่ป้ายรถเมล์ปากซอย น้องอิมครับท่าน  เธอเดินมารอรถเมล์ที่ป้ายที่ผมนั่งอยู่พร้อมเพื่อน
ๆ ของเธอ เธอสวยบาดตาบาดใจมากสำหรับผม สวยเด้งหลุดออกมาจากกลุ่มเลยครับ ใบหน้าของเธอช่างน่ารักซะ
 ประสาทสัมผัสทุกอณูในตัวผมตื่นตะลึง


น้องอิมของผม เธอเหมือนนางฟ้าที่เดินลงมาจากสวนสวรรค์ ให้ผมได้ยลโฉม  เธอเดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา โอ้ย!
หัวใจผมเต้นแรงมากเลยครับเพื่อน
ๆ เธอหยุดนั่งลงที่เก้าอี้รอรถใกล้ ๆ ผม
กลิ่นของเธอช่างหอมยิ่งนักเมื่อลมโชยพัดผ่านเธอมาแตะจมูกผม ยิ่งเวลาเธอหันมายิ้มให้ผม
คุณเอ๊ยใจผมแทบละลายเลย เธอเป็นสาวสวยคนแรกที่หันมายิ้มให้ผม
นับตั้งแต่ผมเริ่มเป็นหนุ่มขึ้นมา สายตาของเธอไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมเลย
ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ แม่เคยบอกผมว่า อาการแบบนี้เค้าเรียกว่า
Love at first sight ซึ่งแม่กับพ่อก็รักกันเพียงแรกเห็นเช่นกัน  ผมพยายามสงบสติอารมณ์ไว้
เพราะเธอดูต่างกับผมราวฟ้ากับเหวนรก ผมไม่อยากเป็นเหมือนแม่   แม่เคยสอนผมให้เจียมตน อย่าหมายปองของสูง
เพราะมันไม่มีวันเป็นไปได้ แต่เมื่อผมเห็นน้องอิม คำพูดของแม่ที่คอยสอนผม มันค่อย
ๆ หายไปจากความทรงจำ


การพบกันครั้งแรกระหว่างผมกับน้องอิมจบลงแค่นั้น เราไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำ และเธอก็คงไม่รู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเธอ เธอเดินขึ้นรถเมล์สายที่เธอรอและจากผมไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเธอ
เธอหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนก้าวขึ้นรถ แต่เพื่อน ๆ
ของเธอสิทำท่าขยะแขยงราวกับผมเป็นเศษขยะ แต่ผมก็เข้าใจพวกเขานะครับ ใคร ๆ
เห็นผมก็คงทำเช่นเดียวกับพวกเขา เนื้อตัวที่มอมแมม ดูสกปรกไม่มีสกุลออกขนาดนี้
แต่ผมไม่ได้ติดใจเอาความอะไรหรอก เพราะในใจผมจะมีแต่น้องอิมคนเดียวนับจากนี้...


 


3.


          นับจากวันนั้น ผมก็มาเฝ้ารอน้องอิมที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน เพื่อว่าจะได้มีโอกาสพบกับเธออีก ความรักนี่ก็แปลก มันสุขปนทุกข์อย่างไรบอกไม่ถูก
ผมมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงหน้าของน้องอิม แต่ก็ทุกข์ใจเหลือแสนเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเสียที


          หลายวันผ่านไป ป้าติ๋มเริ่มบ่นเมื่อไม่เห็นผมไปช่วยแกเฝ้าร้านเหมือนเคย จะทำไงได้ล่ะป้า ความรักมันทำให้ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับนี่นา
ผมได้แต่นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์เหม่อมองไปอย่างนั้น
หวังเพียงจะเห็นน้องอิมเดินผ่านเข้ามาในสายตาผมบ้าง


และแล้วฝันก็เป็นจริง เมื่อน้องอิมเดินมารอรถที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง คราวนี้เธอมาในชุดสบาย ๆ อาจจะเพราะเป็นวันอาทิตย์ เธอยิ้มให้ผมทันทีที่เห็นผม ผมยิ้มตอบ
ผมอยากจะชวนเธอคุยแต่ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร เธอคงไม่เข้าใจโลกของผมเท่าใดนัก
ผมเองก็คงไม่เข้าใจโลกของเธอเช่นกัน ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเรา
ผมอยากให้รถเมล์สายที่เธอขึ้น มาให้ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้
ผมพยายามขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น เธอไม่ได้ว่าอะไร
เธอหันมายิ้มให้ผมเป็นระยะ 
ผมขยับเข้าใกล้เธอมากจนตัวเราเกือบติดกัน เธอหันมายิ้มให้ผม
เราชื่ออิม
เป็นเพื่อนกันนะ

เธอบอกชื่อกับผมก่อนจะลุกขึ้น
รถมาแล้ว
ไปก่อนนะ

เธอก้าวขึ้นรถพลางหันมาโบกมือให้ผม ผมได้แต่มองตามรถเมล์ที่วิ่งออกไปด้วยใจเป็นสุข


โปรดติดตาม.... >>

Views: 155

Replies to This Discussion

มาต่อครับ...>>



4.

ความสัมพันธ์ของผมกับน้องอิมเริ่มขึ้นนับจากวันนั้น เราเจอกันบ่อยขึ้นที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิมที่เรารู้จักกัน เราคุยกันมากขึ้น ทุกครั้งที่เราเจอกันแม้จะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ ระหว่างรอรถเมล์เท่านั้น แต่ผมก็มีความสุขเต็มเปี่ยมทุกครั้งที่อยู่กับเธอ ผมพอใจในระดับความสัมพันธ์ของเรา ผมไม่เคยตามเธอไปบ้าน ผมไม่เคยสนใจว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม่สอนผมไว้ว่า เราควรรักษาระยะห่างระหว่างคนที่เรารักไว้บ้าง อย่างน้อยเพื่อให้หัวใจได้มีโอกาสคิดถึงกัน (หุ หุ ซึ้งล่ะสิ... )

น้องอิมมักจะซื้อขนมมาฝากผมทุกครั้ง บางครั้งเราก็แบ่งกันกิน เธอไม่เคยทำท่ารังเกียจผมเลย เธอมักจะเอามือมาแตะที่แก้มผมเบา ๆ เสมอ ความสัมพันธ์ของเราก้าวมาถึงจุดที่สามารถถูกเนื้อต้องตัวกันได้อย่างไม่เคอะเขิน ผมกล้าพอที่จะอิงแก้มซบที่มืออุ่น ๆ ของเธอ โลกของผมทั้งใบตอนนี้มีแต่สีชมพู ผมอยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ หยุดเพื่อให้โลกนี้มีแต่ผมกับน้องอิม



5.

แต่แล้วความสุขของผมก็อยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อวันหนึ่งมีหนุ่มหน้าตาดีมีสตางค์ มารอน้องอิมที่ป้ายรถเมล์เดียวกับผม ผมไม่รู้ว่าเขาสองคนรู้จักกันมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า น้องอิมยิ้มอย่างเขินอายเมื่อได้เจอกับไอ้หนุ่มนั่น วันนี้น้องอิมไม่สนใจผมเท่าใดนัก แม้จะหันมายิ้มให้บ้าง แต่มันก็ต่างไปจากทุกที น้องอิมขึ้นรถเมล์จากไปพร้อมกับไอ้หนุ่มคนนั้น

โลกของผมเหงาเศร้าลงทันที โลกที่เคยสว่างไสวตอนนี้มันกำลังถูกคุกคามด้วยความมืดดำ ฟ้าไม่สดใสเหมือนวันก่อน พายุเริ่มตั้งเค้า ผมเดินคอตกกลับไปหาป้าติ๋มที่ร้าน

ใช่เลย... คำสอนของแม่กลับมาตอกย้ำความทรงจำของผมอีกครั้ง แม่เคยบอกผมแล้วงัยว่าอย่ามองของที่สูงกว่า เพราะเราไม่มีวันเอื้อมถึง ผมมันไม่ดีเองที่ไม่เชื่อฟังแม่ ทั้ง ๆ ที่ผมก็เห็นแม่ทุกข์ทรมานอยู่ทุกวัน จนตาย

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ไอ้หนุ่มคนนั้นก็ตามติดน้องอิมแจ มันมารับน้องอิมที่ป้ายรถเมล์นั้นทุกวัน น้องอิมไม่มีเวลาให้กับผมเหมือนเคย ผมได้แต่เฝ้ามองดูทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ ในใจผมปวดร้าวยิ่งนัก แม้จะรู้ว่ารักของผมไม่มีหวัง ผมรู้ว่าระหว่างผมกับน้องอิม เราต่างกันเกินไป แต่ในใจมันก็ยังเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ผมเหงาเศร้าสร้อยลงทุกทีจนป้าติ๋มทัก เมื่อแกเห็นอาการซึม ๆ เซื่อง ๆ ของผม แกพยายามคะยั้นคะยอให้ผมกินข้าว แต่ผมก็กินไม่ลงจริง ๆ ป้าติ๋มมองดูผมด้วยความเป็นห่วง แกลูบหัวผมเบา ๆ อย่างเอ็นดูเหมือนเคย

คืนนี้ผมนอนหลับไปด้วยใจที่ปวดร้าว ถ้าบังคับให้ใจมันหยุดเต้นได้ ผมจะสั่งมันทันที น้ำตาของผมรินไหล เป็นน้ำตาครั้งที่สองของผมนับจากแม่ตายไป ความรักมันเจ็บปวดและทุกข์ระทมเช่นนี้เองใช่ไหมครับแม่...



6.

ฉากสุดท้ายของความรักของผมจบลงในวันนี้ ผมเดินหมดอาลัยตายอยากไปที่ป้ายรถเมล์ ป้ายรถเมล์ป้ายเดิมที่ทำให้ผมเจอทั้งความสุขและความเศร้า ผมได้ยินเสียงคนกำลังทะเลาะกัน เสียงคุ้น ๆ ที่กระชากผมออกจากภวังค์ เสียงน้องอิมนั่นเอง น้องอิมกำลังทะเลาะกับไอ้หนุ่มคนนั้น ไอ้หนุ่มคนนั้นมันกำลังตะคอกน้องอิม น้องอิมของผมกำลังร้องให้ ผมจะทำอย่างไรดี ภาพที่ผมเห็นทำให้อารมณ์ผมพลุ่งพล่าน ผมใส่เกียร์เดินหน้าปรี่เข้าไปหามันทันที มันบังอาจทำให้น้องอิมของผมร้องให้

“มึงอย่าเข้ามานะ มึงเข้ามากูเตะจริง ๆ ด้วย” มันตะโกนใส่ผมเมื่อเห็นผมที่กำลังจะปรี่เข้าไปเหนี่ยวมัน ผมชะงักเล็กน้อย แต่ด้วยความรักที่มีต่อน้องอิมทำให้ผมไม่กลัวมันหรอก

“ผลั๊วะ” ร่างของผมลอยคว้างหงายหลังไปตามแรงเตะของมัน ผมจุกจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ แต่เวลานี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ความเจ็บยังไม่บังเกิด อาจเพราะมันยังชาอยู่ ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วปรี่เข้าไปหามันเหมือนเดิม แม้ว่ามันจะตัวโตกว่าผมมากและผมก็คงไม่สามารถต่อกรกับมันได้ แต่ผมต้องปกป้องน้องอิมให้ได้ มันรังแกน้องอิมของผม

ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งไปถึงตัวมัน “ผลั๊วะ” มันก็เตะผมกระเด็นออกมาอีกครั้ง และอีกครั้ง ผมทั้งมึนทั้งจุก หัวผมคงกระแทกกับอะไรสักอย่าง คงจะเป็นพื้นฟุตบาท ตอนนี้สติผมเลือนรางเต็มที ผมไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคนทะเลาะกันเรื่องอะไร แน่นอนย่อมไม่ใช่เรื่องของผม แต่ตอนนี้มันกำลังเอาความโมโหทั้งหมดมาลงที่ผม ก็ดี... เอาความโมโหทั้งหมดมาลงที่ผม น้องอิมจะได้ปลอดภัย มันตามมากระทืบผมซ้ำแล้วซ้ำอีก ความโมโหคงทำให้มันขาดสติ ผมได้ยินเสียงน้องอิมร้องห้ามท่ามกลางสติที่ริบหรี่ ผมเห็นภาพป้าติ๋มกำลังวิ่งมาหาผมราง ๆ เลือดไหลกระอักออกมาจากปาก ไม่มีเสียงร้องออกมาจากผม

“อย่าทำเค้า ไปทำเค้าทำไม” เสียงน้องอิมระล่ำระลักทั้งน้ำตา น้องอิมเอื้อมมือมาแตะร่างที่สั่นเทาด้วยความเจ็บปวดของผม แต่มันกระชากแขนน้องอิมของผมไว้

“จะไปจับมันทำไม สกปรก ไป ๆ ด้วยกันเลย จะร้องไห้ทำไมนักหนา กะอีแค่หมาข้างถนน” สัมพันธ์สุดท้ายระหว่างน้องอิมกับผมหลุดลอยไป มันเรียกแท็กซี่แล้วดันร่างน้องอิมขึ้นรถแท็กซี่จากผมไป ทิ้งให้ผมนอนหายใจรวยรินอยู่ข้างถนน ผมมองเห็นเพียงล้อรถที่เคลื่อนตัวออกไป คนเริ่มมามุงดูที่ผมมากขึ้น ผมไม่รับรู้หรอกว่าเค้าพูดอะไรกันบ้าง แต่เสียงมันช่างโหวกเหวกน่ารำคาญนัก

ป้าติ๋มวิ่งมาพลางยกร่างผมขึ้นกอดไว้ “ไอ้ไมค์ ไอ้ไมค์” แกพยายามเขย่าร่างผมให้รู้สึก แต่ป้าครับผมอ่อนแรงเต็มที “ไอ้คนฉิบ... หมาตัวเล็ก ๆ ก็ยังเตะจนตาย” ป้าติ๋มด่าไปร้องให้ไป

สำนึกสุดท้ายของผมกำลังจะหมดลง ใช่... ผมมันก็แค่หมาข้างถนน แต่หมาข้างถนนอย่างผม ก็รักและภักดีกับคนที่ให้ใจกับมัน หมาข้างถนนอย่างผมพร้อมที่จะปกป้องคนที่ผมรักโดยไม่เสียดายชีวิต

ผมพยายามสูดอากาศครั้งสุดท้ายเพื่อต่อชีวิตไว้อีกสักหน่อย แต่มันก็คงหมดเพียงเท่านี้ ผมรู้สึกถึงความเวิ้งว้างและมืดสนิท ป้าติ๋มครับขอบคุณที่ให้ความเมตตา ให้ข้าวให้น้ำและให้ความอบอุ่นกับผมเสมอมา ผมรักป้านะครับ

น้องอิม... ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผมได้อิ่มเอมกับความสุขของคำว่า “ความรัก”

********************************************************
น่ะ

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service