อากงสอนว่า อาม่าบอกไว้ ตอนที่ 5

http://www.facebook.com/profile.php?v=app_2347471856&ref=profil...

 

 

นานมาแล้ว ที่ฉันรู้สึกว่า
มีอะไรสักอย่าง เกิดมาพร้อมกับร่างกายของฉั

เป็นมวลอากาศ ที่ใครสักคน คงใส่ เกิน มาให้
จนทำให้ฉัน รำคาญใจ อยู่ร่ำไป…

มวลอากาศที่ว่านี้
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า ความ Sensitive
หรือ อาการไวต่อความรู้สึก ( เกินไป)นั่นเอง

ที่น่ายินดีคือ
ทำให้เห็น สิ่งแปลกปลอม ที่เคลือบแฝงมา ในชีวิตได้ชัดเจน

แต่ที่แย่ ก็คือ
เมื่อไหร่ ที่ต้อง ทุกข์ ทรมาน
ก็คง ทวีคูณ เช่นกัน…

เหมือนตอนเปิดประตูบ้าน เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์เข้ามา
จะรู้ไหมว่า อันตราย จะมาด้วยหรือเปล่า

แต่ในเมื่อ Package นี้ จัดมา เรียบร้อยแล้ว
ก็สมควร ที่จะยินดี กับมัน

สิ่งแรกๆ ที่ฉันพอจะทำได้ สมัยเด็กๆ

ก็คือ การค่อยๆ เรียงก้อนอิฐ ขึ้นมา ทีละก้อน
จนมันสูงขึ้น สูงขึ้น ...

ฉันสร้างกำแพง กับทุกๆ สิ่งที่เริ่มรู้สึกว่า
จะนำพาความทุกข์มาให้ในสักวัน

...ความรัก ก็เช่นกัน...

เมื่อ เริ่มเอะใจ ว่ามันไม่ใช่
ฉันก็ไม่ลังเล ที่จะ ชิ่ง หนี ทุกทีไป (",)

หรือที่ คุณ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล บัญญัติ ประโยคไว้ว่า

" ผ่านพบ ไม่ ผูกพัน "

แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด...

ความรักครั้งแรก ระหว่างชายหนุ่ม หญิงสาว
ใครเล่า จะเสแสร้ง ระแวง ลง

ในเมื่อ ความรัก มัน แลกมาด้วย ความรัก
เมื่อเราทำให้ใครเจ็บปวด เราก็ เอาความเจ็บปวด ของเราไปแลกมาด้วย เช่นกัน
( ถ้าทั้งหมดนี้ คุณไม่ได้ Fake นะ )

....................................................................................................................

" อาม่าจ๋า พอเรียนจบแล้ว เอ๋จะแต่งงานกับ พี่กิ้ม ล่ะ "

น้ำเสียงสดใส และ จริงจัง กล่าวขึ้น
ในวันที่ ฉันเรียนอยู่ มหาวิทยาลัย ปี 2

เย็นวันนั้น
ฉัน พาชายหนุ่มหน้าตาดี มีสัมมาคารวะ
มาทานข้าวด้วยกัน ที่บ้าน

บรรยากาศ น่ารัก

อากง อาม่า ไม่ได้เพ่งเล็งอะไรมาก
ทุกอย่าง ผ่านไป อย่างราบรื่น…

รักแรก ...
สวยงาม และยาก ที่จะลืม…

นักวิทยาศาสตร์ กล่าวหา ว่า เพราะ ฮอร์โมนโดปามีน ผูกมัดไว้เช่นนั้น

ฉันเพียง คาดเดาว่า
พวกเรา เห็นท้องฟ้า ใน องศาที่ ต่างกัน

รักครั้งแรก ของฉัน จบลง ในวันที่ ฉันใกล้จะจบชั้น ปี 4…

ซึ่ง ก็คล้ายๆ กับ Loop แรกๆ ของ หนุ่มสาวทั่วไป

สิ่งที่ฉันสัมผัสได้ นั้นสวยงาม เหมือนความฝัน
แต่ สิ่งเจือปน มันขุ่นข้น เกินไป

ทั้งการ ครอบครอง ทั้งความปรารถนา และ เรื่องการเมือง
ฉันหลงโง่ จับยึด เอาไว้หมด โดยคิดว่า มันคือ รัก

พระท่านว่า
" ยึดมั่น กับสิ่งไหน
เราก็ร้องไห้ กับ สิ่งนั้น "

แน่ ยิ่งกว่า แน่นอน !!!

ฉันร้องไห้
กับอาการที่เรียกกันว่า " อกหัก "

ฟังเพลงอะไร เข้าไป ก็ ไหลเป็นน้ำตา ออกมา

ข้าวปลา ไม่กิน

นอนนิ่งๆ ก็มีแต่ความคิด วิ๊งๆ วนๆ เวียนๆ

ความสามารถ ในการประมวลผล ทั้งสมอง และจิตใจ เดี้ยงไปชั่วคราว

คำว่า " หมดเรี่ยวแรง ในการดำเนิน ชีวิต " มันเป็นเช่นนี้เอง

คำพูดปลอบประโลมใจ จากใครๆ จะคม จะชัด แค่ไหน ก็ใช้การอะไรไม่ได้

เมื่อจิตใจไม่ไป ...ร่างกาย จะทานทน อย่างไรไหว


1 วัน 2 วัน ..5 วัน .... 1 สัปดาห์ผ่านไป


ฉันพาร่างกายไร้เรี่ยวแรง ย้ายจาก หอพักแสนเงียบเหงา
กลับสู่สถานที่ ที่คุ้นเคย

เมื่อฉันผลักประตู เข้าไป

กลิ่นยาหอม ยาหม่อง แบบเดิมๆ ก็ลอยมาแตะจมูก
เสียงเพลงสวดมนต์แบบจีน ยังเปิดค้างอยู่แผ่วๆ
สมุดอัลบั้มภาพ เก่าๆ วางเรียงอยู่ข้างๆตัว หญิงชรา ที่คุ้นชิน

อาม่า หันมา พร้อมกับรอยยิ้ม ที่อบอุ่นเช่นเคย

ช่วงเวลานั้น
อาม่า ของฉันไม่ค่อยสบาย อยู่มาก
แต่เพราะฉัน มัวใส่ใจ แต่เรื่องของตัวเอง
จึง ไม่ทัน ได้สังเกต
รู้เพียงว่า อาม่า ซูบผอมลง
และ น้ำเสียง ก็ดู หอบเหนื่อย...

ตรงกันข้าม

อาม่า เพียงแค่ มองมาที่นัยต์ตา ของฉัน

ความทุกข์ ความสุข เช่นไร ก็ ไม่สามารถ จะปิดบังไว้ได้ ...

น้ำตา ที่ฉันเก็บกลั้นเอาไว้
ค่อยๆ หลั่งไหล ออกมาอีกครั้ง

ไม่เคยเลย ที่ อาม่า จะพูดจา ว่ากล่าว ซ้ำเติม

ถึงแม้ เวลาปรกติ ท่านจะ ชอบพูดพร่ำ เจรจา สารพัดเรื่อง

แต่ในเวลาเช่นนี้ ท่านกลับ

นิ่งเงียบ

คำพูด อาจไม่จำเป็นนัก
แต่ฉัน กลับ รู้สึก ว่าในหัวใจที่เหือดแห้ง เริ่มมีน้ำชุ่มชื้น มาหล่อเลี้ยงอีกครั้ง

" ไอ๊ ข่าว จู่เข่า "
(ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องซะให้พอ)

เมื่อ แววตาฝ้าฟาง คู่นั้นมองเข้ามา
และ มือ นุ่มนิ่ม หยาบย่น ค่อยๆ สัมผัส ที่เส้นผม

ทั้งหมด ที่ฉันพยายาม เข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่
ก็ ละลาย กลายเป็น เด็กตัวน้อยๆ คนเดิม

" อาม่าจ๋า เอ๋เหนื่อย "

คำพูด ไม่มากคำนัก
แต่ ความรู้สึก นั้น พรั่งพรู

ฉันได้แต่ปล่อย ให้ สายน้ำ จากข้างใน เล่าเรื่อง ต่อไป

เวลาเย็นจนค่ำ วันนั้น...

ในขณะที่ ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย ไม่สามารถ ซึมซับอะไร ได้อีกต่อไป
เด็กน้อย ในร่าง หญิงสาว ก็ นอนหลับลง ...

จำได้แต่เสียงแผ่วๆแหบๆ

" อ๊าย อุ๊ก จู่ อุ๊ก . ไม๊คื้อ เสี่ย เตี่ยะ "
(ง่วงก็นอนซะ อย่าไป " คิด"  อะไรมาก)

....................................................................................................................

เป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็ไม่ทราบได้...
ที่ความฝัน มิได้ย่างกราย...

จนแสงแดด ของวันใหม่ ส่องเข้ามาบางๆ
ฉันได้กลิ่น ของเช้าวันใหม่แล้ว

แต่ร่างกาย ยังคงนอนอยู่ เช่มเดิม

เสียงแกรกกราก ที่หน้าต่าง ดังขึ้น

ฉันเอี้ยวตัว ไปมอง
" เจ้าสามสี นั่นเอง "

แมวน้อยหยุดเกา มุ้งลวด
แล้วส่งสายตา กลมแป๊ว มาสบ กับสายตา งุนง่วง ของฉัน

แล้วพูดขึ้นว่า " เมี๊ยววว "

รอยยิ้มแรก รับวันใหม่ ของคนกับแมว
ระบาย ขึ้นพร้อมกัน ^^

 

เสียงเรียก ของเจ้าสามสี ฉุดฉันจาก "ความคิด" ของอดีต

ให้มา " รู้ " ถึงช่วงเวลาใน moment นี้

 

นั่นน่ะสินะ  คิด ถึงอดีต ให้ตาย ก็ไม่มีทาง รู้ สิ่งที่จะเป็นไปในอนาคตได้...

สู้ ผ่อนๆ คลายๆ ซะดีกว่า

 

ทิ้งอคติ ...ทิ้งกรอบ

ทิ้งเขา ...ทิ้งเรา    ทิ้งเงา.... ทิ้งเวลา

ทิ้ง อาการยึดติดบ้าๆ ....

ทิ้งสิ่งที่คิดว่า  ติดตัวกับเรามาแต่ไหนแต่ไร ( มันจริงหรือไง ลืมไปแล้วเหรอว่า เรา ไม่เคยมีซะหน่อย )

แล้ว ให้ความ Sensitive ที่ติดตัวมากับ เด็กๆ ทุกคน

ค่อยๆ ฟังเสียง ที่มีอยู่ เพียงแผ่วๆ ...

 

เบาแสนเบานั้น

 

เสียงของ ความไม่มีแก่นสาร

 

เมื่อสติ เข้าครอบครองปัจจุบันขณะ
เมฆหมอก ทั้งหลายนั้น ก็จาง หายไป


( คล้าย เมื่อเรามองเห็น ความกลัว ความกลัวนั้นจะหายไป
  ความยึดติด และกิเลสต่างๆ ก็เช่นกัน
  มอง ให้ เห็น  เท่านั้น จะมองเห็นได้ ก็ต้องทิ้ง สาระบ้าๆ ที่ยึดมั่น เอาไว้ซะก่อน)


เช้านี้ ดูจะสดใส กว่าทุกวัน

ความชื้นสัมพัทธ ในหัวใจ วัดได้หลาย %

อาม่า เดินเข้าห้องมา ยิ้มให้
แล้วเรียกให้ลงไป เจี่ยะ ม้วย (ทานข้าวต้ม)

โต้วขุ่ง จู่คื้อเจี๊ยะ ( หิวก็ไปทานข้าวซะ )

ฉันกำลังคุยกับแมว อยู่

" สามสีน้อย เมื่อตะกี้นี้ มันคืออะไรกันนะ "

( อาจเพราะ เวลา... 
  อาจเพราะ น้ำตา...
  อาจเพราะ อาม่า...
  หรือ อาจเพราะแววตา ของเหมียวน้อย...

  ทั้งหมดนี้ ช่วยให้ ผ่อน และ คลาย ขอบใจ มากๆ  )

เจ้าสามสี บอกว่า
" เหตุผลไม่มี ตอนนี้ รู้สึกดี ก็พอแล้วนี่ "

เจ้าสามสี หันไปมอง [ ก้อนทึมทึบ ] บางอย่าง
ที่วางอยู่ข้างๆ ตัวฉัน

" นั่นอะไรน่ะ เอ๋น้อย "
ฉันหันกลับไปมองบ้าง…

" อ๋อ ไอ้เนี่ยเหรอ ฉันแบกมาหลายวันแล้วล่ะ หนักมากเลยนะ "

สามสี : " ตอนนี้มันกองอยู่ที่พื้นแล้วนี่ "

ฉัน : ใช่ [ ฉันเห็นแล้ว ] มันยังอยู่
แต่ไม่หนักอีกแล้วล่ะ ^_^

" ไม๊คื้อเสี่ยเตี่ยะ " ที่ได้ยิน แว่วๆ เมื่อคืน ดังขึ้นอีกครั้ง

"ปล่อย วาง ลง "

ที่มุมห้อง ข้างๆ ตู้สมบัติประวัติศาสตร์ ของอาม่า

กล่องดินสอฝุ่นเกาะ ที่เคย เป็นที่อยู่ ของฟันน้ำนม 2 ซี่
เข้ามาร่วมวง สนทนา
แล้ว พูดด้วยเสียง ของอาม่า ว่า

" โลกนี้ ไม่มีอะไร ที่เป็นของเรา วันนี้ แค่ฟันน้ำนมหลุด
   วันข้างหน้า เมื่อเราโตขึ้น
   ยังมีอีกมากมาย ที่เราต้องสูญเสียไป
   เป็นธรรมดา อย่าไปเสียดาย และ ไม่ต้องเสียใจ "

ฉันอุ้มเจ้าสามสี เข้ามาในอ้อมแขน

ก่อนจะหันไป ขอบคุณ เจ้า ก้อนทึบ และเชิดใส่มัน

ขอบใจมากนะ
ที่ช่วย ทำลาย กำแพงอิฐ ที่ฉันสร้างมาแต่เล็กแต่น้อ

ตอนนี้ ฉันซึ้งแล้วว่า

โลกข้างนอก มีแต่ความไม่แน่นอน และ ซับซ้อนเหลือเกิน
ฉันสร้าง กำแพง ด้วยอะไร ก็ไม่มีทาง กั้นได้ทั้งหมด

แต่เมื่อเช้านี้ มันใช้ได้

ไม่มีอะไรมาก ...

แค่

มอง
ให้ เห็น
และ วาง
ให้เป็น

จะมองเห็นได้อย่างไร
ตอนต่อไป ให้อากง มาสอนย้ำ อีกที แล้วกัน
คงไม่ยาวแล้วล่ะ 555+

ปล. หลังจากนั้น เจ้าก้อนทึบ ก็ค่อยๆ ละลายไป
ตาม อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา

ลาก่อน ......

Views: 280

Replies to This Discussion

คือ หมายถึงว่า
มันเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง ( เรื่องรู้ได้เฉพาะคน ) เหรอคะ
คุณ แมงบ้า
อ่านแล้วสนุกมากครับ
ดีใจจังที่ชอบ
สนุกกับเรื่อง ดราม่า เหรอคะ >< แง๊
อาม่า คลาสิกมาก

LET IT BE

แฟน THE BEATLES แหงๆ
แฟน เติ้ง ลี จวิน น่ะ ^^
BEATLES น่ะ พ่อเราเอง แฟนพันธ์แท้
ชอบตั้งแต่ "สำหรับ ฉันแล้ว อากง ก็คน คนแก่แนวๆ คนหนึ่ง ในยุคนั้น ( เป็นขั้นกว่า ของ ผู้ใหญ่แนว อีกที) "

ถ้ายังจำกันได้นะ ผมเลยติดเรื่องนี้เลยทีเดียว *o*

ตอนเนี้ยผมชอบตรง คุยกะแมว (เจ้าสามสีน้อย) ผมก็เคยนะ ;)
ยินดี มากๆค่ะ คุณ darffyplanet
เอ๋ ลองมาอ่านดูอีกที ตอนคุยกะแมว
จริงๆ แล้ว เจ้าเหมียว สื่อสาร มากกว่านั้น
แต่ว่า แปลออกมา เป็น ภาษามนุษย์เนี่ย
เอ๋ต้องใช้ พลังงานเยอะ ><
ตอนแรก ที่เขียน ยังไม่ได้ขัดเกลา เท่าไหร่
แต่ว่า ตอนนี้ คิดว่า ใช้ได้แล้ว ถ้ามีเวลา ลองไปอ่านดู อีกทีนะคะ ^_^
" ไม๊คื้อเสี่ยเตี่ยะ "
^^ เจริญ สติ

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service