ในชีวิตแสนสั้น ของคนเรา

จะมีสักกี่ครั้งกัน ที่ได้เจอกับคนที่  "เรารัก" และ " รักเรา " ในคราวเดียวกัน

เป็นไปได้ไหม ที่ว่า  พวกเราไม่เคย จากกันไปเลย

สิ่งที่ เป็น ตัวเรา ในวันนี้ ล้วน หล่อหลอม มาจาก คนที่เรารัก และ คนที่รักเรา

แม้ พวกเขา จะจากไป ไม่มีวัน กลับมาแล้วก็ตาม

 

เราทุกคน ต่างก็มี ครั้งแรกในชีวิต

น้ำตาหยดแรก ของฉัน คงเป็นแม่ ที่เช็ดให้

รอย ไม้เรียว บนน่อง ครั้งแรก คงเป็นพ่อ ที่ฟาดลงไป

 

ความสุข สงบนิ่งในใจ ครั้งแรกที่ไม่ลืม เป็น อาม่า ที่หยิบยื่นให้

 

ฉันรู้จัก สภาวะ ของ " สมาธิ " เป็นครั้งแรก ตอนเรียนอยู่ ป.2- ป.3

จากการที่ อาม่า " จ้าง " บ้าง " หลอกล่อ " บ้าง

ให้ฉันช่วย คัดลอก บทสวดมนต์ ภาษาจีน ( คนจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า เก็ง )

เพราะว่า ตัวหนังสือมันเล็กมาก

อาม่า แก่แล้ว ตามองไม่ค่อยเห็น

 

ตลอด ช่วงปิดเทอมใหญ่

ฉันนั่ง คัดลายมือ ภาษาจีน แทบทุกวัน

ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่สนุกเลย สำหรับ เด็กๆ

แต่เพราะว่า อาม่า ชอบทำตัวน่าสงสาร และ แถมมีสตางค์ มีของเล่น

มาหลอกล่อตลอด ฉันก็เลย อดทนทำไป

บ่นบ้าง งอนบ้าง

แต่ก็ยังทำไปตลอด

เขียนไปเรื่อยๆ

ทุกๆ วัน

สุข ก็ทำ ทุกข์ ก็ทำ ( ภาษาทางธรรมเรียกว่า อุเบกขา หรือ การวางเฉย)

 

จนในที่สุด เมื่อจิตนิ่งเข้าไป ในตัวหนังสือแต่ละตัว

มันก็สงบ และมีความสุข อย่างประหลาด

ตอนนั้น ฉันยังเด็กมาก

อธิบาย อะไรไม่ถูกหรอก

 

รู้แต่ว่า พอจำสภาวะ ได้แล้ว

หลังจากนั้น

ไม่ว่า จะต้องทำเรื่องอะไร

จะยาก จะง่าย

จะเกลียด จะชอบ แค่ไหน

ถ้ามัน จำเป็น

ฉันก็แค่ ทำไปเรื่อยๆ

เพราะ มั่นใจแล้วว่า

ถ้าจิตใจ มันนิ่ง กะสิ่งนั้นๆ ไปเรื่อยๆ

เดี๋ยว สภาวะ สุข สงบ แบบนั้น ก็ต้องมาแน่ๆ

( หรือที่เค้าเรียก กันว่า สมาธิ นั่นแหละ )

 

และ นี่ก็คือ "หัวใจ" ของการเรียนเลยทีเดียว

 

ฉันเพิ่งมารู้ซึ้งตอนโตว่า

อาม่าของ ตัวเอง จิตวิทยาสูงมาก

ที่สอน สมถะกรรมฐาน ( ยังไม่ใช่วิปัสสนา) ทางอ้อม

ให้แก่เด็ก ตัวเล็กๆ ได้รับไปโดย ไม่รู้ตัว

 

ต่อมาอีกไม่นาน พอฉันเริ่ม หัดเขียนพู่กันจีน

อาม่า ก็มา อ้อนให้เขียน ลอก จาก บทสวดอีกตามเคย

( อ้างว่า ตัวพิมพ์ มันแข็งทื่อ ไม่สวยเลย ม่าไม่ชอบ )

ถ้าใคร ที่เคยลองหัด เขียนภาษาจีน หรือ วาดรูปด้วยพู่กัน จะเข้าใจ

ว่า ความใจร้อน หงุดหงิด ของเรา มันจะฟ้องออกมา ที่ลายเส้น

และที่โหด ก็คือ มันลบไม่ได้

ผิดแล้วก็ต้องทำใหม่หมด  -__-"

เขียนมา ดีๆ ทั้งหน้า มาเขียนเละ เขียนซึม ตัวสุดท้าย .. ก็หมดกัน

สิ่งนี้  เป็นกระจก สะท้อนให้เห็น จิตใจ ของเรา

ว่า ขณะนั้นเป็นอย่างไร พลุ่งพล่านแค่ไหน หยาบกระด้าง หรือละเอียดพอแล้ว

พอโตขึ้น เวลาที่ ฉันอยู่ในสภาพ ที่ งง เบลอ นอย อะไรก็ตาม

ก็แค่ หยิบพู่กัน กระดาษ + น้ำหมึก ออกมา

แล้วก็ ละเลง ลงไป

 

เดี๋ยว ก็เห็นเอง จิตใจ ของเรา

 

ยังมีต่อ อีกหลายตอน 555+

Views: 628

Replies to This Discussion

บทความดีมากๆค่ะ
อ่านเเล้วได้เเง่คิดเเถมได้ยิ้มด้วยค่ะ ชอบๆจัง
ดีใจจัง ที่มีคนชอบ ^^
ขอบใจนะ
เด็กๆ เดี๋ยวนี้สมาธิสั้น
ทำงาน multitasking มากเกินไป
อยากให้ ลองมาเขียนพู่กัน สามแถว ๆละ ประมาณ 6-7 ตัว
จะรู้ว่า
การทำงาน ไม่ใช่แค่ เริ่มต้นได้
แต่ ต้องจบ ให้สวยด้วย
ชอบครับ ติดตามๆ ต่อ :))
ยาวหนอ่ยนะ
อย่าลืม ๆ ^__^
มีคน แอบลืม 555+
ขอบคุณฮะ ที่หยิบยื่น คำสอนดีๆจากอาม่าอากง
...ติดตามครับ
ต้องขอบคุณ Art ตัวอาม่าค่ะ ( เป็นขั้นกว่า ของ อาร์ตตัวแม่ อีกที ^__^ )
ว้าวว
มีคนแอบเอาไปแปะ ใน Facebook ให้ด้วยอะ
ขอบคุณค่ะ ^^
รอติดตามตอนต่อไปครับ
มีตอนต่อไปแล้วค่ะ
ตอน 2 และตอน 3
ลองหาดูนะคะ
Thai writer club ไม่ได้เรียงให้ค่ะ >/body>
ดีจัง สมัยเด็ก อาผ่อผมให้บดยาจีน ก็ต้องค่อยๆทำเหมือนกัน
เห็นด้วยกับคนสมัยนี้เน้น multi tasking ทำงาน"เสร็จ"หลายอย่าง แต่ไม่"สำเร็จ"(ได้ดี)ซักอย่าง
คนสมัยก่อน ค่อยๆทำ แต่งานเสร็จแล้วก็ได้ภูมิใจกับสิ่งที่ทำ

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service