"ฉันกำลังจะตาย..."
"สวัสดี- - "
ฉันเอ่ยทักทายฉัน
"เธอสบายดีนะ?"
ฉันเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย
"ฉันกำลังจะตาย- -"
ฉันตอบฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ฉาบเอาไว้ด้วยความสดใส
"เธอป่วยเป็นอะไร?"
ฉันเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใยอีกครั้ง
"เปล่า- - ฉันสบายดี แต่ถึงอย่างไรฉันก็กำลังจะตาย"
ฉันตอบฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ฉาบเพิ่มความสดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม
"เธอสบายดี แต่ทำไมถึงบอกว่าตัวเองกำลังจะตาย?"
ฉันหยุดมองฉันที่สถิตอยู่ภายในกระจกเงาตรงเบื้องหน้า
ใคร่ครวญต่อคำถามที่ฉันถามฉันอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเข้าใจในถาม และมั่นใจในคำตอบ
ฉันจึงตอบฉันออกไปว่า
"ฉัน- -
"ไม่สิ- -
"เราต่างหาก- -
"เราต่างก็รู้และรู้อย่างแน่ชัดกันเป็นอย่างดีทีเดียวว่า
"วินาทีที่กำลังคืบเคลื่อนเข้ามาอย่างเงียบกริบ
"ห้วงแห่งวินาทีอันสงัด สงบ แต่สว่างวาบอย่างเจิดจ้า
"ห้วงแห่งวินาทีที่ไร้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และการปรุงแต่ง
"ห้วงแห่งวินาทีเช่นนี้กำลังเดินทางเข้ามาหาเราอย่างเท่าเทียมกัน
"แต่เรากลับพยายามปฏิเสธ หลีกเร้น และหลบซ่อนมัน
"เพียงเพราะว่าเรารู้สึกรังเกียจความเท่าเทียมกัน
"เราจึงกระเหี้ยนกระหือรือกระโจนลงสู่หุบเหวแห่งความมั่นคง ถาวร และเสถียร
"มั่นคง? ถาวร? และเสถียร?
"มั่นคง!? ถาวร!? และเสถียร!?
"เราพยายามปรุงแต่งวินาทีกาลให้เกิดมีความมั่นคง ถาวร และเสถียร!?!
"เราพยายามกันอย่างจริงจังเสียยิ่งกว่าความจริงจังใดใดเท่าที่เราเคยจริงจัง
"เราพยายามบิดเบือนความชราภาพที่วินาทีกาลมอบให้เราอย่างเท่าเทียมกัน
"เราต้องการเพียงแต่ความกระชุ่มกระชวยแห่งวันและวัย
"เรายินดีและต้องการแต่สิ่งที่เราจะได้รับ
"แต่เรากลับไม่รู้จักที่จะระงับความโศกสลดเมื่อต้องสูญเสีย
"เมื่อเป็นดังเช่นนี้ วินาทีกาลมีความมั่นคง ถาวร และเสถียรละหรือ?"
"ฉันกำลังจะตาย- -
"ไม่สิ เรากำลังจะตายต่างหาก- -
"แต่ก่อนที่เรากำลังจะตาย
"แต่ก่อนที่พญามัจจุราชผู้ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมจะแวะมาทักทาย
"เราก็ควรที่จะแสดงความกล้าหาญด้วยการท้าทายชีวิต
"ตบความคิดอันโง่เขลาที่เคยเชื่อว่าเราเหนือกว่าผู้อื่นให้ล้มคว่ำ
"กระชากคอความอ่อนแอและบอบบาง
"อันเป็นกำแพงสูงตระหง่านซึ่งแต่งตั้งชื่อของตนเองไว้ว่าความเห็นแก่ตัว
"เราต้องกระชากคอมันลงมาให้โน้มต่ำ
"เราต้องกระทำการขุดให้ถึงรากแล้วผลักมันให้หน้าคะมำ
"เราจึงจักได้เรียนรู้ว่าการดำรงอยู่อย่างต่ำเตี้ยแนบชิดติดพระแม่ธรณี
"การที่เราได้กระทำการก้มต่ำลงกราบผืนแผ่นดินผู้ซึ่งมอบชีวิต
"ห้วงแห่งวินาทีกาลอันเป็นเศษเสี้ยวเล็กเล็กขณะหนึ่งของชีวิต
"เราจักได้บันทึกและหมั่นระลึกรู้ถึงคุณค่าอันอนันต์ของชีวิต
"เราจักได้ซาบซึ้งถึงคุณค่าของวินาทีกาลที่กำลังคืบเคลื่อนเข้ามาอย่างเงียบกริบ"
"ฉันกำลังจะตาย- -
"ไม่สิ เรากำลังจะตายต่างหาก- -
"หากแม้เรากำลังจะตาย
"อย่างน้อยเราก็เคยได้ระลึกนึกถึงคุณค่าของชีวิต
"ด้วยการพุ่งทะยานชีวิตด้วยชีวิตเข้าไปในชีวิตเพื่อเรียนรู้ชีวิต
"หากเราสามารถสละชีวิตเพื่อชีวิตได้
"เราก็จะไม่มีเวลามามัวเสียใจให้กับชีวิต
"เนื่องเพราะเรามองเห็นคุณค่าอันงดงามและยิ่งใหญ่ของชีวิตแล้ว"
"เรากำลังจะตายในอ้อมกอดของดวงตะวันผู้อารีมอบแสงแดดอุ่นร้อน
"เรากำลังจะตายขณะที่แพรพรรณแห่งราตรีกาลเมตตาปกคลุมร่างกาย
"เรากำลังจะตายท่ามกลางสายฝนฉ่ำชื่นโปรยสายโอบอุ้มพร้อมรุ้งงาม
"เรากำลังจะตายท่ามกลางต้นไม้และใบหญ้าที่กรุณาแบ่งปันความสดชื่น
"เรากำลังจะตายขณะที่อณูและละอองทะเลล่องฟุ้งคืนสู่ผืนแผ่นฟ้า
"แม้เรากำลังจะตาย
"แต่เราสามารถมองเห็นคุณค่าอันงดงามและยิ่งใหญ่ของสรรพชีวิต
"เราสามารถมีความสุขอย่างเรียบง่ายได้ด้วยชีวิตที่เข้าใจชีวิต
"ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงยินดีต้อนรับพญามัจจุราชผู้ซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมอยู่เป็นนิจ
"แล้วเธอพร้อมหรือยัง?"
ฉันถามฉันที่สถิตอยู่ในกระจกเงาแห่งชีวิต...
**********
อ้อ..ลืมบอกไป งานชิ้นนี้เป็นงานในลักษณะ "มรณานุสติ" หากไม่เข้าใจว่ามรณานุสติคืออะไร ก็ให้คลิกเข้าไปอ่านและทำความเข้าใจที่ลิ้งค์นี้ครับ
Tags:
สุดท้าย เราต่างก็ปฏิเสธไม่ได้ ที่จะ ต้องตายในไม่ช้า!
ผมมีข้อคิดของ "ปัญญาชนสยาม" สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ผมเคารพรักนับถือ
นำมาให้ได้อ่านกันครับ ดังต่อไปนี้...
"การเตรียมตัวตาย หมายความว่า เราจะอยู่อย่างมีความหมายอย่างไ ร
เพราะสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคือลมหายใจภายใน ถ้าเราไม่หายใจเราก็ตาย
ถ้าเราหายใจเอาความเครียดเข้าไป เอาความเกลียดเข้าไป
เอาความยโสโอหังเข้าไป เอาความมักใหญ่ใฝ่สูงเข้าไป
แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาหายใจอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม
หายใจด้วยมีความรัก หายใจด้วยมีความกรุณา
โดยเห็นเพื่อนมนุษย์มีความสำคัญเท่ากับเรา มีความสำคัญยิ่งกว่าเรา
ผมว่าอันนี้นี่แหละครับจะทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย..." โดย ส. ศิวรักษ์
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by