หนังสือชีวิต 

 

 

 

ฉันเดินดุ่มดุ่มไม่ใส่ใจในทิศทาง

เผอิญเจอะร้านหนังสือขวางอยู่ข้างหน้า

ภายในใจคาดอยากได้หนังสือเล่มหนึ่งมานานเป็นนักหนา

ซึ่งมันเต็มไปด้วยปริศนา

ทั้งไม่ปรากฏนามผู้ประพันธ์

ทั้งไม่ทราบวัน / เดือน / ปีที่ผลิต

ฉันจึงเดินเข้าไปภายในร้านค้า

หมายจะซื้อหนังสือเพื่อวิถีชีวิต

ในท้ายที่สุดจึงได้ทราบความนัย

โดยทางผู้จำหน่ายชี้แจงแจ้งให้รู้

เธอเพียรศึกษาจากสรรพสิ่งรอบกาย

และศึกษาจากภายในตัวตนของเธอทดลองดู

เพราะหนังสือที่ชื่อว่าคู่มือการใช้ชีวิต

ซึ่งเธอหมายซื้อเพื่อจะหยั่งรู้

มันไม่มีขายในโลกหล้า...

 

 

********

 

 

เนื้อหาของบทกวีที่ผมเขียนนี้

ไม่ต่างอะไรไปจากคำถามของผู้ที่มักตั้งคำถามอันชวนให้อ่อนจิตอ่อนใจ

ดังเช่นคำถามที่ว่า...

ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดี?  

ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนขยัน?

ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่มีความสุข?

ซึ่งคำตอบของคำถามเหล่านี้ มันไม่ได้มีความลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใด

ใช่ว่าจะเป็นคำถามที่เหลือวิสัยของมนุษย์ปุถุชนจะตอบได้แม้แต่นิด

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดี?

ตอบ : ก็ทำความดีเสียสิจ๊ะ

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนขยัน?

ตอบ : ก็หยุดขี้เกียจเสียซะสิตัวเธอ

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะมีความสุข?

ตอบ : ก็อย่าไปกอดหรือจมอยู่กับกองความทุกข์สิคะ

 

ผมเชื่อมั่นว่าบุคคลที่มีสติและปัญญาสมบูรณ์พร้อม

จะสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องคิดมาก

เพราะคำตอบของคำถามมันก็บ่งชัดอยู่ภายในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ก็ดังเช่นอีกหนึ่งตัวอย่างคำถามที่ว่า...

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะหายโมโห?

ตอบ : ก็เพียงรู้จักมอบความรัก ความเมตตา ให้แก่คนที่เรากำลังโกรธ ด้วยการลดทิฐิมานะภายในจิตใจลง (ทิฐิ แปลว่า ความเห็น ในที่นี้หมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไม่ยอมแก้ไข มานะ แปลว่า ความถือตัว รวม ๒ คำ เป็นทิฐิมานะ หมายถึงถือรั้น อวดดี หรือดึงดื้อถือตัว) หากรู้จักลดความถือตัวหรืออัตตาตัวตนลงได้เมื่อไร ความโกรธหรืออารมณ์โมโหก็ไม่อาจดำรงอยู่ภายในจิตใจของเราได้ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่า...

เราปฏิบัติกันแล้วหรือยัง?  

ปฏิบัติบ่อยครั้งหรือไม่?  

ปฏิบัติแล้วไม่ประสบผลสำเร็จเป็นเพราะเหตุไร?

ซึ่งจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องทบทวน และทำการวิเคราะห์ผลของการฝึกปฏิบัติของตนเองเรื่อยไปจนกว่าจะเกิดความชำนาญ และปฏิบัติได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น การลด ละ วาง อารมณ์ต่างๆก็จะกระทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติ เพราะแม้แต่ผู้ที่ฝึกฝนและปฏิบัติอยู่เป็นประจำ ก็ยังถูกอำนาจของสิ่งที่เรียกว่ากิเลสมารครอบงำ ส่งผลให้อัตตาตัวตนกำเริบเสิบสานกลายเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นภายในจิตในใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตใจของเราก็ย่อมถูกบีบอัด จนพื้นที่ของจิตใจหดลดและคับแคบลงอย่างน่าเกลียดและน่าอึดอัด ด้วยผลจากการที่อัตตาเกิดเจริญเติบโตขึ้นมาภายในจิตใจของเรานั่นเอง

ถ้าหากเรารู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ได้ ว่ามันเป็นเพียงเรื่องปกติวิสัยของมนุษย์ปุถุชน เมื่อเรารู้เท่าทัน เราก็จะสามารถทำความเข้าใจกับมันได้ และสุดท้ายก็จะสามารถปล่อยวางมันลงได้อย่างทันท่วงที

แต่ถ้าหากเรารู้ไม่เท่าทัน ความคับแคบที่มีอยู่ภายในจิตใจของเราก็พลันแสดงตัวออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยการปรากฏกายผ่านทางพฤติกรรมต่างๆนานาของเรา เช่น การโต้เถียง หยามหมิ่น ดูแคลน อาละวาด เอ็ดตะโร ทะเลาะวิวาท เข่นฆ่า และนำไปสู่สงครามอย่างที่เราประสบพบเห็นและเรียนรู้ผ่านทางประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ

 

โดยผลลัพธ์ทั้งหมดทั้งมวลดังที่กล่าวมานี้ ล้วนเกิดมาจากการที่มนุษย์ปล่อยปละให้อำนาจของกิเลสเข้ามาปกครองใจตน แทนที่จะรู้จักระงับยับยั้งควบคุม ด้วยเพราะมีเหตุดังนี้ ผลจึงปรากฏให้ได้สัมผัส ทั้งในระดับบุคคล สังคม ประเทศชาติ กระทั่งส่งผลอย่างใหญ่หลวงขยายไปในระดับโลก

 

และขอย้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหรือเกียจคร้านอีกครั้งว่า เราจะต้อง ฝึกปฏิบัติ ฝึกให้บ่อยครั้ง ฝึกจนเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่ควรฝึกโดยที่ไม่จำเป็นต้องฝืนใจกระทำ กระทำให้เหมือนกับการกินข้าวและหายใจ เมื่อสามารถกระทำได้อย่างเรียบลื่นเช่นนั้น ก็จะค่อยๆเกิดเป็นเข้าใจได้ในท้ายที่สุด

ซึ่งเรื่องราวเช่นนี้ ก็มิได้เป็นเรื่องที่ควรสนใจศึกษาแต่เฉพาะกับคนแก่หรือผู้สูงอายุเท่านั้น  จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อคนหนุ่มสาว ถ้าหากเรียนรู้และนำเอาไปปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตของตน เพราะหากเมื่อใดที่ต้องประสบกับสถานการณ์หนึ่งใดในชีวิต ก็จะสามารถหยิบฉวยนำมาใช้ได้ ประหนึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้คอยช่วยพยุงสติ สัมปชัญญะ เพื่อเรียกหาปัญญาให้มาช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง

 

ป.ล. ความคิดเห็นโดยส่วนตัวของผมในเรื่องนี้ ผมคิดว่าสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติ ก็มิได้หมายความว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความชั่วหรือดีในทางด้านศีลธรรมและจริยธรรมไม่ สำหรับผม ผมมองบุคคลทั้งที่ปฏิบัติไม่ว่าจะเคร่งครัด หย่อนยาน และไม่ปฏิบัติเลยนั้น ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ดุจเดียวกัน เพียงแต่บุคคลเหล่านั้นเป็นบุคคลที่ กระทำ หรือ ไม่กระทำ ก็เท่านั้นเอง เพราะผลปรากฏสุดท้ายก็จะเกิดแก่ทั้งผู้ที่ ปฏิบัติ และ ไม่ปฏิบัติ  เช่นกัน จะมีก็เพียงแต่ว่าผลลัพธ์เท่านั้นที่จะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ก็ประกอบไปด้วยเหตุหรือปัจจัยอีกนานัปการ โดยที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แน่แท้ว่าย่อมจะส่งผลในบั้นปลายท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเกิดมาจากการกระทำของตัวบุคคลหรือเกิดมาจากเหตุปัจจัย

Views: 182

Replies to This Discussion

ป.ล.2 ผมขออนุญาตนำเอาข้อพิจารณาจาก พระธรรมเทศนาเรื่อง “ดี-ชั่ว แบบไหนมีจริง แบบไหนไม่มีจริง ตอนบุคคล” ชุดทันโลกถึงธรรม 2548 โดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต)มาประกอบ เพื่อจะได้เข้าใจมากยิ่งๆขึ้น ดังนี้ครับ...

"คำว่าดี-ชั่วในภาษาไทยเมื่อนำมาใช้จะทำให้เกิดความสับสน (เช่นพูดว่า ความเหงาเป็นความชั่ว) เพื่อความชัดเจนเป็นการเป็นงานเราจึงใช้คำอีกคู่หนึ่ง ในภาษาบาลีคำว่าดี-ชั่ว จะใช้คำว่ากุศล-อกุศล และคำว่า บุญ-บาป หลักทางพุทธศาสนาถือว่ากุศล-อกุศลเป็นสภาวะ หมายถึงความมีอยู่จริงของมันเอง และสภาวะนี้เกิดขึ้นในจิตใจ

"เช่น ความเหงา ความหดหู่ ความท้อแท้ ซึ่งจัดเป็นอกุศล เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันไม่เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจ นี่คือความเป็นอกุศล หรือความร่าเริงเบิกบาน ความเมตตา ความปรารถนาดี เกิดขึ้นในใจ เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจแล้วจิตใจก็สบาย ระบบกล้ามเนื้อผ่อนคลาย เลือดลมดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส

"อย่างที่พูดกันว่าคนมีเมตตาจะแก่ช้า ตรงข้ามกับความโกรธที่เป็นอกุศล เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจแล้วทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมอง ร้อนรุ่ม เครียด กระวนกระวาย แล้วก็มีผลต่อชีวิต แม้แต่ร่างกายก็เกร็ง เครียด หน้าตาจะเหี่ยวย่นไวอย่างนี้เป็นต้น กุศล-อกุศล ทางพระท่านถือที่นี่

"ส่วนระดับที่ออกมาสู่สังคมเป็นอีกชั้นหนึ่ง เป็นเรื่องความสัมพันธ์เชิงเหตุปัจจัย เมื่อมีความเมตตาแล้ว จิตใจก็เบิกบาน เย็น ผ่อนคลาย เกื้อกูลต่อชีวิตจิตใจของตนเอง แล้วก็เกื้อกูลต่อการแสดงออก ทำให้เกิดการช่วยเหลือกัน เป็นผลดีที่สืบเนื่อง

"แต่โดยสภาวะก็คือมันเกิดขึ้นที่ไหนมันก็เกื้อกูลต่อที่นั่น ไม่ต้องไปรอดูที่อื่น ฉะนั้นท่านจึงถือเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะพวกสภาวะจิตเหล่านี้ที่เราเรียกว่าอารมณ์ หรืออะไรก็ตาม มันเป็นสภาวะที่มีจริงทางจิตใจ เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็ส่งผลต่อชีวิตจิตใจ แล้วเข้าสู่ระบบเหตุปัจจัยทันที..."

ครับ- -ซึ่งหากใครที่ปฏิบัติจริงได้ดังนี้ ก็จะสัมผัสรับรู้ได้ว่า กุศล-อกุศล ได้เกิดขึ้นแล้วและส่งผลทันที ทีนี้ก็มาพิจารณาดูว่า การปฏิบัติใดที่เป็น "กุศล" หรือเป็น "อกุศล" แล้วการปฏิบัติใดกันที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่กายและใจของเรา ผู้ที่มีปัญญาก็จะสามารถเข้าใจและนำเอาไปปฏิบัติในท้ายที่สุดนั่นเอง big smile

ชอบจัง

เรากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

อยากจะนำ ที่คุณเขียนไปอยู่กับเราจัง ถ่าคุณโอเค

กด

ลองเข้ามาอ่านนะครับ

และถ่าคุณโอเคผมจะใด้ลงครับ เพราะเรากำลัง เดิน เหมือนกัน

โอเคครับ ขอบคุณครับผม เชิญแบ่งปันได้เลย (^___^)

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service