“สีอะไรก็สวย”
เนื่องจากได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐประจำวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๔
จากคอลัมน์ชักธงรบ เขียนโดย กิเลนประลองเชิง เรื่อง สีอะไรก็สวย
ซึ่งได้นำเอาเรื่องราวจากหนังสือ “สุขได้ถ้าวางเป็น” (สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์)
เขียนโดย กวน จยา เวย (ทิภาพร เยี่ยมวัฒนา แปล) มาบอกเล่า
โดยวางเรื่องสีอะไรก็สวยนี้ไว้เป็นเรื่องแรก จากทั้งหมดหกสิบเรื่อง
ผมประทับจิตประใจเรื่องนี้เป็นที่ยิ่ง จึงนำมาเผยแพร่ต่อครับ
เนื้อหาโดยย่อมีดังต่อไปนี้...
หลีเจี๋ยผู้มีอาชีพเป็นนักข่าวกำลังจะขึ้นรถไฟไปบอสตัน
บังเอิญได้พบกับชายชราตาบอดผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่เพียงลำพังกลางชานชาลา
ระหว่างทางที่นั่งรถไฟไปด้วยกันนั้น ชายชราได้เล่าให้ฟังว่า
เขาเกิดทางตอนใต้ของสหรัฐฯในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งเรื่องผิวสีอย่างรุนแรง
คนภาคใต้ต่างก็ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าคนผิวดำนั้นต้อยต่ำกว่าคนผิวขาว
คนรับใช้ผิวดำภายในบ้าน ไม่เคยได้ร่วมนั่งรับประทานอาหารกับคนผิวขาว
คนผิวดำไม่เคยได้รับโอกาสให้เรียนหนังสือร่วมชั้นเดียวกันกับคนผิวขาว
ซึ่งการปลูกฝังทางทัศนคติเช่นนี้ได้ติดยึดเขาเรื่อยไปจวบจนเขาเติบใหญ่...
เมื่อเขามีโอกาสได้ไปร่ำเรียนทางภาคเหนือของสหรัฐฯ
วันหนึ่งเขาได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์
ทว่าเขาได้หมายเหตุแนบท้ายไว้ในบัตรเชิญว่า
“ขอสงวนสิทธิในการปฏิเสธคนบางกลุ่มเข้าร่วมงาน”
ประโยคเดียวกันนี้ ถ้าเขียนในภาคใต้ จะเขียนตรงๆว่า “เราไม่ต้อนรับคนผิวดำ”
แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นในภาคเหนือของสหรัฐฯ
เพื่อนนักศึกษาทั้งชั้นจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
คณบดีทราบเรื่องจึงต้องเรียกเขาเข้าไปตำหนิ...
ถึงแม้ว่าเขาจะรังเกียจคนผิวดำอย่างไร
แต่ในชีวิตประจำวันก็ต้องประสบพบเจออยู่ดี
เวลาจะซื้อสินค้าภายในร้านค้าของคนผิวดำ
เขาจะวางสตางค์เอาไว้บนตู้ชั้นวางเพื่อให้คนผิวดำไปหยิบเอาเอง
เนื่องเพราะทัศนคติที่ว่า ถึงอย่างไรคนผิวขาวอย่างเขา
ก็ไม่มีวันที่จะสัมผัสจับต้องกับคนผิวดำเป็นเด็ดขาด...
“ถ้าอย่างนั้น คุณคงไม่คิดที่จะแต่งงานกับคนผิวดำ?” หลี่เจี๋ยถาม
“ตอนนั้นผมถูกอบรมว่า... คนผิวขาวแต่งงานกับคนผิวดำ
จะทำให้พ่อแม่อับอายขายหน้า” ชายชราตาบอดตอบ...
ในระหว่างที่เรียนอยู่บอสตัน เขาประสบอุบัติเหตุจนทำให้ตาบอดสนิท
เมื่อออกจากโรงพยาบาล เขาได้ไปอยู่ในศูนย์ฟื้นฟูผู้พิการทางสายตา
ศึกษาอักษรเบรลล์จนเชี่ยวชาญ
ฝึกฝนการใช้ทักษะชีวิตคนตาบอด จนอาศัยใช้ไม้เท้าเดินถนนได้เอง...
ขณะที่เขาเริ่มปรับตัวและใช้ชีวิตตามลำพังได้
มีเรื่องราวหนึ่งที่ทำให้เขาต้องหงุดหงิดรำคาญใจเป็นอันมาก
เนื่องเพราะเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า
คนที่เขากำลังมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันนั้น
พวกเขาเป็นคนผิวสีไหน?
เมื่อเขาเล่าปัญหานี้ให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาได้รับฟัง
เขาก็ได้รับคำแนะนำที่ดีมาก ดีมากจนเขาถือว่าเจ้าหน้าที่ผู้นี้คือครู คือเพื่อนที่ดี
จนเขาไว้วางใจ และสามารถที่จะเล่าทุกๆเรื่องราวให้รับฟังได้ในที่สุด
และแล้ววันเวลาก็ได้เคลื่อนผ่านไปอย่างยาวนาน
วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษา ที่เขาถือได้ว่าเป็นครูและเป็นเพื่อนที่ไว้วางใจ
ก็ได้เปิดเผยบอกให้แก่เขารับรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว “เขานั้นเป็นคนผิวดำ”
เมื่อทราบเรื่องนี้เข้า ชายชราตาบอดสารภาพว่า
แทนที่เขาจะตระหนกตกใจ เขากลับรู้สึกสงบนิ่ง
อคติที่เคยมีกับคนผิวสีดำ แม้มันจะไม่ได้กระโดดออกไปจากหัวใจในตอนนั้น
หากแต่มันค่อยๆเลือนหายไปในไม่ช้า
“ผมสูญเสียการมองเห็น แต่ขณะเดียวกันก็ได้สูญเสียอคติไปด้วย
เรื่องนี้ทำให้ผมมีความสุข” ชายชราตาบอดบอกเล่า
หลี่เจี๋ยนักข่าวเจ้าของเรื่องเล่า จบเรื่องนี้ลงตรงที่สถานีบอสตันให้ได้รู้ว่า
มีสตรีชราผมขาวโพลนคนหนึ่ง
เข้ามาสวมกอดชายชราตาบอดผิวขาวอย่างสนิทสนมรักใคร่
สตรีชราผู้นั้นเป็นคนผิวดำ...
ผมอ่านคอลัมน์นี้จบลง
น้ำตาก็ปริ่มจนเกือบท้นล้นออกมาจากเบ้า
เป็นเพราะว่ารู้สึกซาบซึ้งในใจความสำคัญของเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นยิ่งนัก
เพราะทัศนคติเรื่องของสถาบัน เรื่องของสีเสื้อ เรื่องของชนชั้น
เรื่องของความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนครบสามสิบสองกับผู้พิการ
เรื่องของผู้ด้อยโอกาสในสังคม และปัญหาด้านอื่นๆที่มีอยู่ภายในสังคมไทยของเรานี้
หากทุกทุกคนเพียงแค่มีทัศนคติที่ดี มองคนทุกผู้ว่าเป็น “มนุษย์” เหมือนกันกับตน
ปัญหาเรื่องของความแตกแยกเพียงเพราะว่ามีความคิดเห็นที่ต่างกัน
ปัญหาเรื่องการเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาสก็จักไม่เกิดขึ้น
แต่เป็นเพราะว่าเรามิได้มองคนทุกคนว่าเป็น “มนุษย์” ดุจเดียวกัน
ปัญหาเหล่านี้จึงลุกลามใหญ่โตเรื่อยมา
เพราะผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์หัวใจเหลือเกินว่า
ชีวิตของคนทุกคนล้วนสามารถที่จะมีความสุขได้อย่างเต็มศักยภาพ
เพียงแค่เราต้องมีความพยายามเพิ่มมากขึ้นอีกสักนิด
ด้วยการตั้งเป้าหมายไว้ภายในจิตใจที่จะทำการเรียนรู้เพื่อจะอยู่ร่วมกันกับเพื่อนร่วมสังคม
เรียนรู้ที่จะละอคติด้านลบในเรื่องของความแตกต่างทางด้านต่างๆลงเสีย
เปิดดวงตามองทุกสรรพชีวิตอย่างจริงแท้
เปิดดวงใจยอมรับทุกสรรพชีวิตอย่างแท้จริง
หากเริ่มต้นกระทำได้เพียงนี้
ความสงบและสันติสุขก็จักเกิดแก่คนส่วนใหญ่ในสังคม
ดังเช่นที่ชายชราตาบอดเรียนรู้ที่จะเปิดใจยอมรับกับความแตกต่างครับ...
Tags:
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by