“บ้าน”
หลังจากที่ผมอ่านหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งที่บรรยายถึงเรื่องของ “บ้าน” ในความหมายที่น่าสนใจจบลง ก็ชวนให้ผมหวนถึงวารวันขึ้นมา...
เมื่อครั้งยังเยาว์วัยถึงแม้ผมจะเกิดที่เมืองกรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ ก็ตามที แต่ด้วยความที่พ่อและแม่ของผมโดยรากฐานท่านเป็นคนอีสาน และท่านทั้งสองได้มุ่งหน้าจากบ้านนามาแสวงหาโชค แสวงหาชีวิตและเงิน-ทองในเมืองฟ้าอย่างที่ค่านิยมของคนต่างจังหวัดนิยมถือกัน จนกระทั่งเกิดมีผมขึ้นมา เมื่อผมเกิดมาได้สักสองขวบปี แข็งแรงและไร้โรคภัยใดๆมิให้ท่านต้องห่วง ท่านจึงนำเอาผมมาฝากไว้ให้ปู่และย่าเป็นผู้เลี้ยงดูแทน เพื่อท่านจะได้มีเวลาทำงานอย่างเต็มที่ และนั่นก็ทำให้ผมได้มีโอกาสเติบโตขึ้นท่ามกลางแดนดินถิ่นอีสาน เป็นลูกหลานชาวนาอย่างเต็มยศ เป็นลูกหลานทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว เป็นลูกหลานน้ำเมรัยทั้งแม่โขงและสาโท หากมีเมรัยยี่ห้อแม่มูลและแม่ชี ก็คงครบถ้วนดีที่นำเอาชื่อแม่น้ำแถบอีสานมาตั้งเป็นชื่อเมรัย จึงสามารถเรียกได้ว่าผมเป็นลูกครึ่งเมืองผสมชนบทอย่างเต็มภาคภูมิ (ฮา)
ผมจำความได้อย่างลางๆ แต่ก็ประทับใจอย่างฝังแน่นถึงชีวิตในวัยเยาว์ ที่ได้อาศัยร่มเงาวัฒนธรรมอีสานมาหล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งจากทุ่งรวงทอง ลำน้ำสายเล็กๆที่ทอดผ่านทุ่งนา ได้วิ่งเล่นซนตามประสาเด็กๆไปบนคันนาที่ทอดยาวไกล ซึ่งมองเห็นรวงข้าวไหลลู่ไปตามกระแสลมพัดอย่างสวยงาม แน่แท้ว่ามันไกลลิบจนสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
บางคราวก็เล่นซ่อนแอบ ผมจำได้ว่าเคยหนีเพื่อนลูกอีสานด้วยกันไปซุกตัวหลบอยู่ในกองฟางแห้งสีเหลืองทองที่กองสูงจนท่วมหัว เข้าไปแอบซ่อนจนคันยุบยุบยิบยิบไปทั่วทั้งตัว ครานั้นแม้จะเชื่ออย่างสุดใจว่าตนเองช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร ที่หาแหล่งหลบซ่อนแอบได้ยอดเยี่ยมกว่าใครในบรรดาหมู่มิตร แต่สุดท้ายเพื่อนๆก็หาผมเจออยู่ดี (ฮา)
บางวันที่ติดตามปู่และย่าไปเฝ้านาข้าวที่เถียงนา(กระต๊อบหรือกระท่อม) เมื่อเกิดหิวขึ้นมาปู่ก็จะพาผมไปช้อนปลา ช้อนกุ้งฝอยด้วยสวิง หรืออยากกินปลาตัวใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย ปู่ก็จะจัดการเหวี่ยงด้วยแหเป็นที่สนุกสนานกันทั้งปู่และหลานยามหาปลา
บ้างก็งมหอยโข่งตัวโตเอามาแกงกินอย่างเรียบง่าย โดยเก็บผักนานาชนิดที่ขึ้นอยู่ตามริมคันนาเอามาจิ้มแกล้มกับน้ำพริกปลาร้าและปลาป่น ซึ่งมีให้เก็บอย่างเหลือกินเหลือใช้
ส่วนของหวานปู่มักจะเก็บเอาลูกมะตูมจากต้นที่ขึ้นอยู่ทางด้านหน้าของเถียงนา นำมาต้มให้ผมได้กินกระทั่งอิ่มหนำ หรือเก็บเอามะม่วงแก้วรสหวาน หลังจากที่กินเนื้อและนำเมล็ดออกแล้ว ก็จัดการยัดข้าวเหนียวเข้าไปภายในเปลือกคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพียงนี้ก็ได้หม่ำๆ ซึ่งก็อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง
หรือจะเก็บเอาลูกพุทธรารสชาติหวานอมเปรี้ยวมาเคี้ยวกินเล่นก็มากมีจนเก็บกินกันไม่ทัน
กระทั่งเมื่อผมโตจนครบเกณฑ์ที่จะต้องเข้าสู่วัยเรียนในชั้นประถมศึกษาตอนต้น นั่นจึงทำให้ผมต้องจากบ้านไร่ บ้านนา ที่เคยใช้ชีวิตในวัยเยาว์ หวนคืนสู่อ้อมอกพ่อและแม่ อ้อมอกระบบของการศึกษาไทย อ้อมอกของส่วนกลางซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบการบริหารประเทศ นั่นคือ กรุงเทพฯ...
จวบจนผมเติบโตขึ้นเป็นหนุ่ม และได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทำให้ผมได้พบกับโลกใหม่ที่กว้างขึ้น ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยสองปีแรก ผมใช้ชีวิตด้วยความคึกคักกับสิ่งใหม่ๆที่ได้ค้นพบ เรียนรู้เรื่องราวทางสังคมเมืองอย่างอิ่มหนำ จนแทบสำลักความฟุ้งเฟ้อของคนเมือง ผมถูกกล่อม ถูกป้อนข้อมูลด้วยคำหวานต่างๆนานาจากระบบการศึกษาและรัฐ
ชีวิตดำรงอยู่ด้วยเพียงแค่การมุ่งหวังในเรื่องของการสะสมวัตถุทรัพย์ให้มั่งคั่ง โดยมุ่งมั่นจะไปไขว่คว้าคำว่า “มั่งมีศรีสุข” มาครอบครองอย่างกระเหี้ยนกระหือรือเหลือเกิน ทำการแก่งแย่งแข่งขันจนกระทั่งกลายเป็นคนใจร้ายในหลายต่อหลายเรื่อง จนเกือบหลงลืมคำว่า “อยู่เย็นเป็นสุข” ไปเสียแล้วว่า มันเป็นอย่างไร...
ผมตกอยู่ในยุคที่ผู้นำเป็นมหาเศรษฐี และผมเองก็อยากร่ำรวยเยี่ยงท่าน เพราะว่าท่านป่าวประกาศอยู่ทุกวี่วันว่า จะทำให้ทุกๆคนร่ำรวยอย่างเท่าเทียมเสมอกัน ท่านจะเสกกระดาษให้เป็นเงิน เมื่อทุกคนล้วงกระเป๋าจะต้องพบกับเงินตรา และอื่นๆอีกมากมายก่ายกองที่ท่านพร่ำพรรณนาบอกประชาชน ซึ่งโดยแท้ที่จริงแล้ว มีเพียงแค่ท่านผู้นำและบรรดาพรรคพวกของท่านเท่านั้นที่ร่ำรวยยิ่งๆขึ้นอย่างกระจุกตัว แต่ประชาชนกลับเป็นหนี้เป็นสินกันอีนุงตุงนังอย่างถ้วนทั่ว อันเนื่องมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของท่านผู้นำ
เมื่อตาสว่างพอที่จะเกิดปัญญา ผมก็ได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข มีความหมายและมีคุณค่านั้น หาใช่เพราะเราต้องมีทรัพย์สินมากล้นไม่ แต่ต้องดำรงอยู่ด้วยความที่เราต้องเป็นคนเก่ง เป็นคนดี มีความสุข มีจิตสำนึกสาธารณะ มุ่งพัฒนาชุมชนและสังคมให้เข้มแข็งและรู้เท่าทันโลกที่แปรเปลี่ยน หาใช่มีทรัพย์สินที่เป็นเพียงเครื่องสำอางประดับฐานะทางสังคม
ซึ่งวิกฤติทางสังคม วิกฤติโลก และวิกฤติต่างๆทางธรรมชาติที่ประดังถาโถมอยู่ในทุกวันนี้ ก็ล้วนแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำมือของมนุษย์ ที่กระทำการเร่งเร้ากระตุ้นพัฒนาระบบเศรษฐกิจในแบบทุนนิยมอย่างสุดโต่ง โดยไม่ให้ความสำคัญ / ไร้ปฏิสัมพันธ์ / ขาดการเชื่อมความสัมพันธ์กับทางชุมชน ระหว่างคนกับธรรมชาติ และอื่นๆ วิกฤติการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลกระทบต่อทุกๆชีวิต ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ทุกๆคนล้วนแต่ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งนั้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จึงนับเป็นสิ่งที่น่าขบคิดว่าการดำรงวิถีเยี่ยงนี้ของมนุษย์ยุคปัจจุบัน จะนำพาไปสู่ความผาสุก เกิดมีสันติภาพ และมีสันติสุขกันได้จริงแท้แน่ละหรือ?
ครับ...ในภูมิหลังผมโตขึ้นท่ามกลางธรรมชาติที่มีแต่ “การมอบให้” ในวัยเยาว์ และผมโตขึ้นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่ผันผวน ท่ามกลางสังคมเมืองที่มีแต่การกอบโกยเอาอย่างน่าเศร้า หากเราพึ่งพากันอย่างที่ธรรมชาติรายรอบตัวมอบให้ผมในวัยเด็ก อย่างที่ต้นมะตูมมอบผลให้ผมได้กิน อย่างที่ลำน้ำสายเล็กมอบปลาให้เป็นกับข้าว อย่างที่ทุ่งนามอบข้าวให้เราได้กินอิ่ม อย่างที่กองฟางมอบความสุขสนุกให้
ชีวิตที่อยู่ร่วมกับต้นไม้ สายน้ำ และไร่นาสวนผสมอย่างรู้จักพอเพียง ชีวิตก็สามารถมีความหมายได้อย่างมากมายแล้วสำหรับผม ซึ่ง "บ้าน" ในความหมายของผม ไม่จำเป็นที่จะต้องหมายถึงกรอบสี่เหลี่ยมที่กักขังให้เราต้องอยู่เพียงแค่ได้พักพิงหลบแดด-ฝนเท่านั้น แต่มันน่าที่จะหมายความได้อย่างกว้างขวาง ถึงสิ่งที่ไร้ขอบรั้วที่จะมาจำกัดวิถีและการดำรงอยู่ของชีวิต
บ้านที่เป็นที่พักพิงของทุกๆชีวิต บ้านที่มอบความสุขให้กับทุกๆชีวิต บ้านที่มอบความอิ่มสุขให้กับชีวิตที่หลากหลาย บ้านที่ทุกๆชีวิตควรพึ่งพาอาศัยกันและกันได้ ซึ่งนั่นก็คือ “ธรรมชาติ”
ในยุคสมัยที่กระแสแห่งการถูกบังคับให้ต้องเลือกข้าง
ผมจึงตัดสินใจเลือกอยู่ฝ่ายธรรมชาติด้วยความยินดียิ่ง
ผมนับว่าธรรมชาติคือบ้านหลังใหญ่ที่น่าอยู่อาศัย มิใช่บ้านที่คับแคบทึบตัน
ครับ- -ผมกำลังจะกลับคืนสู่บ้านที่แท้จริง...
**********
Tags:
© 2009-2025 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.
Powered by