"เชื่อก็โง่"

 

 

 

เมื่อหลวงพ่อชา สุภทฺโท ก่อตั้งวัดหนองป่าพงเมื่อปี ๒๔๙๗ นั้น

ท่านยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวาง แต่ในชั่วเวลาไม่ถึงสิบปี

กิตติศัพท์ของท่านก็เป็นที่เลื่องลือในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม

จนต่อมาได้มีชาวต่างประเทศมาบวชและปฏิบัติกับท่าน

ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่สามารถพูดภาษาของเขาได้ แต่ปฏิปทาอันงดงามของท่าน

รวมทั้งคำสอนที่ง่ายแต่ลึกซึ้ง

ก็สามารถจูงใจให้เขาเกิดศรัทธาในพระรัตนตรัย

และทุ่มเทให้กับการปฏิบัติแม้มีข้อวัตรที่เข้มงวดก็ตาม

 

อย่างไรก็ตามในสายตาของคนไทยจำนวนไม่น้อย

หลวงพ่อชาคือพระเกจิอาจารย์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์

ดังนั้นจึงมีคนมาถามท่านเรื่องทำนองนี้เสมอ แต่มักได้คำตอบที่คาดไม่ถึง

 

ครั้งหนึ่งมีคนถามท่านว่า

เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นจริงเหาะได้หรือเปล่า

 

ท่านตอบว่า

เรื่องเหาะบินนี่ไม่สำคัญหรอก แมงกุดจี่มันก็บินได้

 

ครูคนหนึ่งถามท่านว่า

จริงหรือไม่ที่พระอรหันต์สมัยพุทธกาลสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้

 

คำตอบของท่านก็คือ

ถามไกลตัวเกินไปแล้วล่ะครู มาพูดถึงตอสั้น ๆ ที่จะตำเท้าเรานี่ดีกว่า

 

คำถามอีกประเภทหนึ่งที่ท่านได้รับเป็นประจำก็คือ

ชาติหน้ามีจริงไหม

 

ท่านไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า

ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ

 

เชื่อครับ

 

ถ้าเชื่อคุณก็โง่

คือคำตอบของท่าน

 

แล้วท่านก็อธิบายว่า

ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น

คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป

ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี

อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้

เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

 

แล้วท่านก็แนะว่า

คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นไม่ใช่ปัญหา

มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ

เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนในปัจจุบัน

เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร

นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย

  

โดย: พระไพศาล วิสาโล...

 

 

"พระอรหันต์สมัยพุทธกาล เหาะได้จริงหรือเปล่า”

“ชาติหน้ามีจริงไหม ถ้ามีจริงพาไปดูหน่อยได้ไหม”

“ทำบุญสั่งสมเอาไว้มากๆ ตายไปจะได้ไปสวรรค์จริงไหม”

และคำถามอื่นๆอีกมากมายที่มิได้เกี่ยวกับแก่นแท้แห่งพุทธศาสนา

 

พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องใด

เราคงลืมกันไปหมดแล้วกระมัง

พระองค์ทรงชี้ให้เรามองเห็นทุกข์

เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้น เพียรทำความเข้าใจในทุกข์นั้น

แล้วเราจะดับทุกข์นั้นอย่างไร ใคร่ครวญด้วยปัญญา

แล้วหาหนทางดับทุกข์นั้นเสีย

 

สิ่งนี้คือแก่นแท้แห่งพุทธศาสนา

เรากลับไม่สนใจใคร่ศึกษา

ทว่ากลับไปนำเอาเปลือกเอากระพี้นานามาพอกปิดแก่นแท้

 

พุทธศาสนิกชนไทยหนอ

ต้นไม้ที่ท่านกราบไหว้ มิอาจดับทุกข์ให้ท่านได้ดอก

เกจิอาจารย์ที่ท่านได้ไปเช่าเครื่องรางของขลังมาบูชา

หาได้ดับทุกข์ของท่านได้จริงไม่

หมอดูที่ท่านไปปรึกษาและจ่ายสตางค์เพื่อความสบายใจนั้น

ดับทุกข์ของท่านได้ละหรือ?

และอื่นๆอีกมากมาย ที่ดับทุกข์มิได้จริง

ซึ่งมันจะดับทุกข์ของท่านได้อย่างไรเล่า

ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นมิใช่แก่นแท้ของการดับทุกข์...

 

โดย ไก่ ดีแล่น...

 

 

Views: 114

Replies to This Discussion

พุทธศาสนิกชนไทยเป็นเช่นนี้กันโดยส่วนมาก
การที่เราจะช่วยกันทำให้เพื่อนร่วมสังคมเกิดมีปัญญาอย่างจริงแท้ขึ้นมาได้บ้าง
ไม่ว่าจะผ่านวิธีการใด ทั้งบทกวี งานจิตรกรรม ภาพถ่าย เรื่องสั้น นวนิยาย เทคโนโลยี และอื่นๆ
ผมเชื่อว่าการที่เราร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันความเขลาเยี่ยงนี้ นับเป็นกุศลยิ่งนักเชียวครับ
ช่วยกันเผยแพร่ต่อเถิดครับ วิถีพุทธะมิมีลิขสิทธิ์ใดใด นับเป็นกุศลด้วยซ้ำไปหากช่วยกันเผยแพร่ ^^

ป.ล. กุศล = ปัญญา

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service