สนามแห่งหัวใจ

 

 

กี่สนามที่ย่ำลงไป

ย่ำด้วยหัวใจ

มิใช่ด้วยตีน

กี่ความหวัง ได้ดังใจ

ย่ำพลาดไป

กี่ความผิดหวัง...

 

มองแมงมุมตัวหนึ่งชักไย

มันค่อยค่อยไต่ขึ้นไปบนดอกเฟื่องฟ้า

เหนือนั้น ยังมีท้องฟ้า ยังมีเมฆา

มันชักไยอยู่ใต้ฟ้า ไม่เคยไต่ไปถึงเมฆขาว

แต่อย่างน้อยน้อย

ความพยายามของมันก็ไม่สูญเปล่า

เพราะมันไต่ไปถึงดอกเฟื่องฟ้าสีม่วงงามได้สำเร็จ

มันไม่โอดครวญอยากสัมผัสก้อนเมฆ

เพราะมันรู้ถึงขีดความสามารถของตน...

 

มองใบบัวสีเขียวเข้ม

ใต้ใบบัวมีสีเขียวอ่อน

หลาบใบชูท้า ปะทะแดด ลม ฝน หนาว ร้อน

หลายใบ ปรุ มีรูพรุน

แห้ง เหี่ยว เฉา ทิ่มใบทิ้งลงไปในสระ

ใบบัวยังมีสองด้าน

อ่อน-แก่

ชู-เฉา

เพราะเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของมัน...

 

กี่สนามที่ย่ำลงไป

ย่ำด้วยหัวใจ มิใช่ด้วยตีน...

 

ขณะนี้

สนามแห่งนี้

เพียงแค่สนามเดียวที่ฉันกำลังย่ำ

สอนธรรมให้แก่ฉันได้ตั้งมากมาย

สอนได้ลึกซึ้ง

สอนให้เข้าใจ

สอนได้ดียิ่งกว่าหนังสือเล่มไหนไหนที่เคยอ่าน

สนามกว้างใหญ่

สนามอันไพศาล

สนามแห่งหัวใจที่ฉันได้ทดลองหยั่งนี้

ซึ่งฉันอุปาทานว่าปลายตีนตน ได้แตะถึงก้นบึ้งแล้ว...

 

 

*********

  

 

ป.ล. บันดาลใจจากการที่ได้ไปนั่งเล่น ชมแมงมุมไต่ดอกเฟื่องฟ้า ชมดอกไม้ ชมใบหญ้า ชมต้นไผ่ ชมสระบัว ฟังเสียงสุนัขเห่า ฟังเสียงนก แลดวงตะวันลับฟ้า อยู่ภายในสนามหญ้าเล็กเล็ก ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองของวัดตะโน(วัดใกล้บ้าน) จึงเขียนบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างมีความสุข

ซึ่งอันที่จริงผมไม่อยากใช้คำว่ามี ความสุข แต่อยากใช้คำว่ามี ความสว่าง มากกว่า

เพราะมันน่าที่จะอุ้มความหมายของสิ่งที่บันดาลใจให้แก่ผมได้ลึกซึ้งมากยิ่งกว่านั้น...

 

สว่างอย่างไร? โดยในนี้ผมหมายถึงความเข้าใจในชีวิต สว่างด้วยความเข้าใจในความเป็นไปของสภาวะธรรมชาติ โดยที่ชีวิตก็เป็นหนึ่งในสภาวะนั้น และอันที่จริงมันก็มิได้มีความลึกลับ หรือซับซ้อนนัก และมันช่างเรียบง่ายอย่างคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่เราไม่ค่อยเข้าใจมัน และโดยมากก็คร้านที่จะทำความเข้าใจกับมันก็เท่านั้นเอง เราจึงยังคงสับสน ว้าวุ่นใจ ส่ายไปหาสิ่งที่จะมาช่วยทำให้เราเกิดมีความรู้สึกพึงพอใจ หรือว่าเกิดมีความสุขตามอย่างที่เราเข้าใจ

ทว่าความรู้ ความเข้าใจใน ความสว่าง ของชีวิตนั้น มันลึกซึ้งยิ่งกว่ามาก

 

ผมจึงไม่รู้สึกแปลกใจและไม่มีข้อกังขาใดอีก ว่าเพราะเหตุใดชายหนุ่มที่ถือกำเนิดอยู่ในตระกูลศากยวงศ์ ซึ่งเป็นตระกูลวรรณะกษัตริย์แห่งแคว้นสักกะ เป็นผู้ที่มีชีวิตและมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายภายในปราสาทราชวังทั้งสามฤดู จึงยังไม่พึงใจกับบรรดาทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่มีอยู่อย่างมากมาย ยังไม่พึงใจกับเสียงดนตรีอันไพเราะที่มีผู้มาขับกล่อมให้สำราญ ยังไม่พึงใจกับบรรดานางรำรูปงามทั้งหลายที่เฝ้าฟ้อนรำถวาย และยังไม่พึงใจกับสิ่งต่างๆอีกมากมายที่เขามีไว้ในการครอบครอง ถึงกับยอมสละละทิ้งสิ่งต่างๆเหล่านั้นไปเสีย เพื่อมุ่งไปค้นหาความหมายใหม่ของชีวิต ซึ่งมีคุณค่าเหนือไปกว่าคำว่า ความสะดวก ความสบาย และเหนือกว่าความสุขอย่างหยาบหยาบที่ใครใครก็สามารถมีและสัมผัสได้ แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้น มันหาได้ยั่งยืนจริงไม่ มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถครอบครองได้จริงจริง

จนกระทั่งเขาได้ค้นพบกับสิ่งหนึ่งที่งดงามและมีความหมายลึกซึ้งและควรค่าแก่การเข้าถึงยิ่งกว่า สิ่งนั้นก็คือ ความว่าง ความสว่าง ความสะอาด ความสงบ ภายในจิตใจของตนเอง...

 

ชายหนุ่มผู้นั้นเขาเริ่มต้นค้นหาความหมาย ตั้งแต่อายุราว 29 ปี เมื่อค้นพบกับความงดงามของความหมายนั้นแล้ว เขาจึงได้เริ่มต้นทนตรากตรำนำเอาความงดงามนั้นไปเผยแพร่ให้โลกได้รับรู้และทำการศึกษาร่วมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือวรรณะในทางการศึกษา จวบจนกระทั่งสิ้นอายุขัยของเขาในอีก 45 ปีต่อมา  เขาคือมหาบุรุษของโลกอีกคนหนึ่ง ที่โลกได้จารึกชื่อของเขาเอาไว้มาอย่างยาวนานมากกว่า 2600 ปี ล่วงมาแล้ว...

 

แม้นว่าผมจะยังไม่สามารถเข้าใจอย่างแตกฉานในสิ่งที่มหาบุรุษผู้นั้นเป็นผู้ค้นพบ แต่เพียงกระพี้ที่ผมพยายามทำความเข้าใจ ก็ยังประโยชน์อย่างงดงามยิ่งนักให้แก่จิตใจของผมแล้ว วัน เวลา และการหมั่นเพียรศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมเท่านั้นที่จะทำให้ผมเข้าใจความหมายนั้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

ครับ... ผมเขียนบทกวีและเสริมด้วยบทความชิ้นนี้ขึ้นมา ก็เพียงอยากจะสื่อว่า ความสว่างภายในจิตใจนั้น มันช่างลึกซึ้งและเปี่ยมสุขจริงจริงครับ ซึ่งผมอยากแนะนำให้เพื่อร่วมโลกทั้งหลายที่อ่านบทกวีและอ่านบทความนี้ ได้ค้นพบกับความหมายของความสว่างนี้เช่นกัน ซึ่งมันมีความละเอียดและมีความงดงามกว่าคำว่าความสุขธรรมดาที่ยังคงหยาบอยู่มากมายหลายเท่านัก

และบทความชิ้นนี้ ผมมิได้กล่าวถึงเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธา หรือเรื่องของศาสนา ทว่าผมพยายามกล่าวถึงเรื่องของความเข้าใจในสิ่งสิ่งหนึ่งเท่านั้น และมิได้กล่าวถึงศาสดาของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ผมกำลังกล่าวถึงบุคคลบุคคลหนึ่ง ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งค้นพบความงดงามหนึ่งที่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม ฉะนั้นไม่ว่าท่านผู้อ่านกำลังนับถือลัทธิหรือศาสนาใดอยู่ ก็สามารถอ่านและเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดได้ไม่ยาก เพราะผมมิได้ทำการโน้มน้าวให้เชื่อตามแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการสื่อถึงมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้าใจถึงความหมายของชีวิตที่งดงามและยิ่งใหญ่ ทว่ากลับเรียบง่ายอย่างคาดไม่ถึงได้นั่นเอง...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Views: 39

© 2009-2025   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service