คันปาก อยากเล่า ตอน : เหตุเกิดวันที่ 19 พ.ค. 2553 ณ ใจกลางกรุงเทพ (19th May 2010, at the center of BKK)


หลังจากเกิดเหตุอลหม่านจราจลกลางเมืองผ่านไปได้ 2 วัน สถานการณ์ต่างๆเริ่มสงบ แถวบ้านก็เงียบเรียบร้อยดี ถึงแม้จะน่ากลัวมากเมื่อวันที่ 19 พ.ค. หลังจากกลุ่มเสื้อแดงที่เขาอ้างว่าเป็นเสื้อแดงเทียมออกอาละวาดทั่วเมือง เนื่องจากไม่พอใจที่กลุ่มแกนนำประกาศมอบตัวและยุติการชุมนุม ไฟไหม้รอบทุกทิศแถวบ้าน ตั้งแต่การไฟฟ้า ตลาดหลักทรัพย์ ตึก Loxley และช่อง3  เห็นเสื้อแดงแวบๆมาแถวบ้านด้วย ชาวบ้านขวัญกระเจิง ชั้นกำลังยืนซื้อส้มตำอยู่ แม่ค๊งแม่ค้าแตกฮือ แม่ค้าหมูปิ้งตื่นเต้นจัดจนมือสั่น ขนาดเอาหมูปิ้งใส่ถุงผิดๆถูกๆ ผู้คนแตกตื่นอลหม่าน แล้วก็ยิ่งตกใจมากขึ้นที่อยู่ดีๆมีผู้หญิงคนนึงวิ่งหน้าตาตื่นมาจากไหนไม่รู้แล้วตะโกนว่า “มันมาแล้ว” แค่นั้นแหละ คนแถวนั้นวิ่งกันกระจาย! ไอ้เราก็เลยต้องวิ่งตามเขาไปด้วย

พอตกบ่ายก็ถูกตัดไฟฟ้าจนถึงสายอีกวัน เพื่อนๆก็เลยไม่สามารถติดต่อเราได้ช่วงนั้นเพราะแบตหมด ไม่มีไฟให้ชาร์ต  ชีวิต! เหมือนตกอยู่ในสงครามจริงๆ ขาดการรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอก เหมือนเป็นเป้านิ่งอยู่กับบ้าน เขาจะมายิงหรือเผาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างข้างนอก ก็เลยยึดตามหนังจีนที่ว่า “ที่ที่อันตรายที่สุด น่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด” กลางดึกก็นอนไปพร้อมกับบรรยากาศอันเงียบแต่ไม่สงบ และความร้อนแบบเอี้ยๆ เอี้ยขนาดที่ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็ยังเหงื่อตก พื้นห้องน้ำขาวจั๊วะ เพราะทางแป้งเย็นกันทั้งคืน ระหว่างที่นอนไปแบบเงียบๆก็ได้ยินเสียงรถหวอเป็นbackground เสียงประทัดยักษ์(หรือปืนหว่า) รัวเป็นชุดเพื่อให้จังหวะ ผสานด้วยเสียงหมาเห่าซักประมาณยี่สิบตัวเป็นเสียงร้องนำ พวกมันเหมือนกำลังเห่าคนแปลกหน้าที่มากันเป็นกองทัพ ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่า ถ้าเสียงหมาเห่าเงียบไป แสดงว่าพวกเสื้อแดงต้องมาแถวบ้านแล้วแน่นอน เพราะพวกนั้นคงยิงหมาตายหมด ใจลอยนึกไปถึงฉากในหนังยากูซ่าญี่ปุ่น ที่พวกมันคงกราดยิงไปทั่ว เสียงเห่าของหมาที่ขู่เข้มคำราม คงกลายเป็นเสียงร้องครางเหมือนจะบอกว่า “ช่---ตู-ด้--ย”  แต่ผ่านไปซักพักกองทัพหมามันก็ยังเห่าไม่เลิก จนชั้นเริ่มคิดว่า   “ทำไมหมามันไม่โดนยิงฟะ หนวกหู!”...แต่ชั้นก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยข่มตานอนไปพร้อมกับความร้อนแบบเอี้ยๆ

ซักพัก เสียงเห่าของกองทัพหมาก็เงียบไป คงเหลือไว้แต่ความเงียบถึงเงียบมาก มันช่างเป็นบรรยากาศที่น่ากลัวและอันตรายที่สุด ไม่รู้ว่าจะมีใครมาเผาแถวนี้รึเปล่า เพราะเมื่อตอนบ่ายที่ไปร่วมขบวนวิ่งหนีกับคนอื่น ได้ยินมาว่า”คืนนี้มันจะมาเผา!” แต่คนที่เล่าก็ไม่ได้บอกพิกัดที่แน่นอนว่าจะมาเผาที่ไหน จิตใจก็เลยฟุ้งซ่านคิดมั่วไปเรื่อย เพราะแถวบ้านมืดและเงียบมาก บรรยากาศเหมาะแก่การกระทำอันผิดกฏหมายเป็นอย่างยิ่ง  ซักพัก “เอ๊ะ!  กลิ่นอะไรไหม้หว่า... แม่เจ้า! หรือมันมาเผาแล้วจริงๆ” เพราะเสียงหมาเห่าก็เงียบไปแล้ว หมามันอาจจะโดนพวกนั้นไล่จนหนีไปหลบหมดแล้ว ตอนนั้นชั้นคิดในใจว่า ไม่ไหวละ ต้องรีบออกไปดู เผื่อมันจะยังเป็นแค่กองไฟเล็กๆ จะได้ดับทัน ชั้นเลยตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูนอกบ้าน กลิ่นเริ่มชัดขึ้น เหมือนกลิ่นไม้ถูกเผา “ชัดเลย! มันมาเผาชัวร์” ชั้นเดินตามกลิ่นไปเรื่อยๆ ภาพที่ชั้นเห็นตอนนั้นทำให้ชั้นตกใจมาก แทบไม่น่าเชื่อ กองไฟลุกโชติช่วงจากเตาอั้งโล่ห์ที่ถัดจากบ้านชั้นไป 2-3 ห้อง คนงานบ้านนั้นเขากำลังจุดเตาถ่านเพื่อต้มหน่อไม้เตรียมเอาไปขายตามปกติ  กลิ่นไม้ที่ถูกเผา ก็คือฟืนที่เขาจุด “พระเจ้า! เวลาอย่างนี้ยังมีอารมณ์เตรียมขายของอีกเหรอเนี่ย!” ชาวบ้านชาวช่องเขาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีใครกล้าออกมา แต่บ้านนี้ไม่แคร์สื่อ ออกมาตั้งโต๊ะทำงานที่หน้าบ้านกันเฉย

ไหนๆก็ออกมานอกบ้านแล้ว ตอนนั้นคงซักประมาณสี่ห้าทุ่มเห็นจะได้ มองออกไปที่ถนนในซอย.....ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆเลย.....เพราะมันมืดมาก ไม่มีไฟฟ้า......ลมพัดมาแบบชิวๆ ถุงปลิวไปมาตามแรงลมพัด “โห! บรรยากาศเหมือนเมืองร้างในหนังเลยอ่ะ” ไม่เคยคิดว่าแถวบ้านจะเงียบได้ขนาดนี้ เพราะตามปกติแถวนี้ยิ่งดึกยิ่งครึกครื้น เพราะผู้คนจะมาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดเพื่อเตรียมของสำหรับวันรุ่งขึ้น แต่วันนี้เงียบมาก และไม่มีพลังชีวิตใดๆเคลื่อนไหวด้วย มองไปเรื่อยๆจนสุดทางเห็นแสงไฟเล็กๆ ชั้นก็เลยเดินเข้าไปให้ใกล้ขึ้น เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นแสงของอะไร     ที่แท้........แสงไฟจากรถเข็นขายไส้กรอกอีสาน ที่จอดอยู่ตรงหัวมุมซอย ในใจชั้นก็นึกไปว่า “คนขายนี่พลิกวิกฤติเป็นโอกาสจริงๆ” คงคิดว่าเผื่อมีคนหิวๆกลางดึก ไม่มีร้านอะไรเปิดขายเลย ไส้กรอกอีสานร้อนๆก็คงจะพอทดแทนได้  ในใจอยากจะเดินเข้าไปซื้อมากินอยู่เหมือนกัน แต่มาคิดอีกทีว่า อย่าเลย เกิดพวกนั้นเป็นผู้ร้ายที่ใช้ไส้กรอกอีสานมาบังหน้าล่ะ จะตะโกนให้ใครช่วยก็คงไม่มีแน่ แถมชั้นยังเป็นคนเดินเข้าไปหามันเองด้วย ปล้นทรัพย์ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าปล้นสวาทล่ะ! ไม่นะไม่ ถึงหน้าชั้นอย่างนี้ชั้นก็เลือกนะ ก็เลยตัดสินใจไม่เดินเข้าไปดีกว่า เก็บความหิวกลับบ้านกินนมแทนก็ได้ฟะ  แต่ถ้าเขาเป็นพ่อค้าจริงๆก็อยากจะถามเขามากว่า “ขายได้มั้ยคะ” พร้อมกับคำตอบในใจว่า....”บ้าเอ๊ย! อารมณ์แบบนี้ใครมันจะออกมาซื้อไส้กรอกอีสานกิน ขนาดหมาแมวยังไม่เห็นกล้าเดินเลย” เพราะรัฐประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่สองทุ่มถึงหกโมงเช้า  ชั้นยืนอยุ่ซักพัก รอดูให้เห็นกับตาว่าจะมีคนเดินมาซื้อมั้ย รออยู่ซักพักก็ไม่เห็น ยืนดูไปรับลมเย็นๆไป พอให้เหงื่อที่ท่วมตัวจากตอนอยู่ในบ้านแห้ง แล้วก็กลับเข้าบ้านเพราะอยู่นานคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งพรุ่งนี้เช้า

เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ก็คือ คืนวันนั้น ชั้นเพียรพยายามโทรถามการไฟฟ้าว่าลืมสับคัทเอาท์ของไฟตรงเฟสบ้านชั้นขี้นรึเปล่า ทำไมถึงยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ตั้งแต่บ่ายจนถึงหัวค่ำ ในขณะที่ตึกแถวบางล็อกในบริเวณเดียวกันมีไฟฟ้าใช้แล้วตั้งแต่ตอนเย็น โทรไป 1130 call center การไฟฟ้า ก็สายไม่ว่างบ้าง มีเสียงผู้หญิงที่เหมือนป่วยกระเสาะกระแสะพูดว่า “หมายเลขนี้ไม่สามารถติดต่อได้อันเนื่องมาจากวางสายไม่สนิท”    ชั้นก็เลยคิดว่า “แล้วชั้นจะไปบอกใครที่การไฟฟ้าดีว่าให้ช่วยวางสายให้สนิทหน่อย คนอื่นจะได้โทรเข้าไปได้  เอ....การไฟฟ้ามีเบอร์มือถือมั้ยนะ จะได้โทรเข้าไปบอก”     บ้าไปแล้ว! มันน่าจะมีคนโทรเข้าไปมากจนระบบตอบรับติ่งต๊องมากกว่านะ ไม่ใช่วางสายไม่สนิท ชั้นก็เลยวางสายแล้วซักพักค่อยโทรใหม่ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพียรโทรเข้าไปจนไม่ไหวละ เปลี่ยนเป็นเบอร์อื่นดีกว่า

เคยดูข่าวทีวีตอนที่ยังไม่โดนตัดไฟ จำได้ว่ามีเบอร์สายด่วน กทม 1555   เอาฟะ เบอร์นี้ก็ได้ ให้เขาช่วยประสานงานให้ก็ได้ 1555 ก็สายไม่ว่างเหมือนกัน ไม่รู้มันจะฮอทอะไรกันขนาดนั้น เพียรซักพักจนติด เป็นเสียงท่านหม่อมสุขุมรับสายเลยค่ะ ชั้นดีใจมาก หม่อมต้องช่วยชั้นได้แน่ๆ กดเข้าไปตามกระบวนการอันแสนยาวเหยียดตามสไตล์การโทรเข้าไปยัง call center ทั่วไป จนกระทั่งได้ยินข้อความว่า “กด1 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่” แล้วก็เป็นเสียงกรี๊งโทรศัพท์เหมือนที่เวลาเราโทรออก ตอนนั้นดีใจมาก ในใจคิดว่า ใครก็ได้ ช่วยรับโทรศัพท์ชั้นที่ ชั้นอยากคุยกับคน ไม่ได้อยากฟังเสียงผู้หญิงจากเครื่องตอบรับ แป๊ปนึงก็มีเสียงผู้หญิงจากเครื่องตอบรับคนเดิมบอกว่า “เนื่องจากขณะนี้มีผู้โทรเขามามาก ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้บริการได้ในทันที ท่านอาจต้องรอเกินกว่า 5 นาที” ชั้นก็ตอบไปในใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ รอได้ค่ะ ใช้เบอร์บ้านโทร รอนานแค่ไหนก็แค่ 3 บาทค่ะ” ชั้นลงทุนไปเปลี่ยนเอาเครื่องโทรศัพท์ที่เปิด speaker ได้มาใช้ รอนานเท่าไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่เมื่อย  รอแล้วรอเล่า เสียงผู้หญิงคนเดิมก็พูดซ้ำๆข้อความเดิมว่าต้องรอมากกว่า 5 นาที ผ่านไปเป็นชั่วโมง ผู้หญิงคนนี้ก็ยังพูดข้อความเดิมว่าต้องรอมากกว่า 5 นาที ทำไมเขาไม่บอกมาเลยล่ะว่ารอกี่ชั่วโมง มาหลอกให้อยากแล้วก็จากไป  บ๊าเอ๊ย! หลอกลวงประชาชน ติดต่อไม่ได้ก็บอกมาตั้งแต่ต้นสิ จะได้ไม่รอ ชั้นก็เลยเปลี่ยนไปโทรเบอร์อื่น ตอนนั้นนึกได้อีกเบอร์ก็ สายด่วย ศอฉ 02-551-1515 เอาฟะ เป็นไงเป็นกัน โทรก็โทร อยากจะบอกใครซักคนว่าชั้นเดือดร้อน ช่วยหน่อยเถอะ ในใจก็กลัวว่าคนรับจะต้องเป็นเสียงทหารขรึมๆแน่เลย ปรากฎว่า สายไม่ว่าง โทรไม่ติด โทรอยู่นานก็ยังไม่ติด เอาน่าก็ยังดีที่ไม่มาหลอกให้รอ  หมดทุกเบอร์ที่คิดออกละ ไม่รู้จะโทรเบอร์ไหนละ ทันใดนั้น แวบนึงก็นึกขึ้นมาได้ว่า 191 ไง ยังไงๆเบอร์นี้ก็ต้องมีคนรับ ถึงจะแค่รับเรื่องไปก็ยังดีฟะ โทรเลย.......แต่พระเจ้า! ไม่มีคนรับสาย! แม่เจ้า! ขอย้ำว่า เบอร์ 191 ไม่มีคนรับสาย ไม่มีแม้กระทั่งเสียงจากเครื่องตอบรับใดๆ หรือแม้กระทั่งการโทรกลับ เพราะจริงๆที่ 191 จะต้องมีบริการโชว์เบอร์โทรเข้า เพราะถึงไม่ได้รับสาย ก็จะได้โทรกลับได้ แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครโทรกลับมา  ชั้นก็เลยล้มเลิกความพยายามทั้งหมดทันที พร้อมกับคิดในใจว่า แล้วถ้าเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายคืนวันนั้น จะทำยังไงละนี่! มิน่าล่ะมันถึงได้เผาได้ทั้งเมือง หรือเพราะประเทศเราไม่เคยมีเหตุจราจล ก็เลยไม่เคยมีแผนรองรับ ถ้าต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดตลอด ก็ไม่ไหวนะประเทศชาติครับ

 

- เด็กน้อย

21 พ.ค. 2010

Views: 114

Replies to This Discussion

มีต่อไหมครับ ตื่นเต้นตามไปด้วย
ถ้าจากประสบการณ์จริงในมุมมองของตัวเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องนะคะ แต่เกรงว่าอันนั้นจะล่อแหล่มเสียงภัยไปหน่อย ไว้ถ้ามีโอกาสจะเอามาโพสท์นะคะ ขอบคุณมากนะคะ

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service