สถานที่ในฝันของช่างภาพ # - แชงกรีล่าแท้จริงอยู่หนใด

ชื่อของแชงกรีล่า (Shangril-la) ปรากฏครั้งแรกในหนังสือของ James Hilton เรื่อง 'Lost Horizon' หรือ 'ลับฟ้าปลายฝัน' ในฉบับภาษาไทย พูดถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่หลบหลีกซ้อนเร้นจากภายนอก ไม่ปรากฏในแผนที่ เป็นสถานที่ลึกลับที่แม้นผู้หลงเข้าไปจะพบกับความมหัศจรรย์นานัปการด้วยสถานที่นี้คือดินแดนแห่งสันติสุข ผู้คนที่มีอายุขัยยืนยาวจนเกือบเป็นอมตะ และดำรงตนแห่งสมณะเพศตามความเชื่อแบบธิเบต


แล้วแท้จริงอาณาจักรแชงกรีล่านี้ปรากฏในแห่งหนใดนอกเหนือจากในฉบับนิยาย หลากหลายความเชื่อปรากฏมาจากหลายแหล่งข้อมูล บ้างก็ว่ามาจากการที่ Hilton ผู้แต่งหนังสือเคยไปเยี่ยมเยือนพื้นที่แถบหุบเขาฮุนซ่าในปากีสถานและนำข้อมูลเหล่านี้มาแต่งเป็นนิยาย บ้างก็ว่าแชงกรีล่ามีอยู่จริง โดยแผลงมาจากดินแดนซัมบาลา (Shambala) ตามความเชื่อของธิเบตที่ตามตำนานเคยมีอยู่จริงตั้งอยู่ในแถบ Inner Asia มาแต่โบราณ จนคำว่าซัมบาลาค่อยๆเปลี่ยนไปหมายถึง ดินแดนที่บริสุทธิ์ในระดับจิตวิญญาณมากกว่าการมีตัวตนจริงของดินแดน ผนวกจนเป็นความเชื่อของพุทธแบบธิเบต เป็นความเชื่อของการเข้าถึงดินแดนแห่งความสงบสุขและเต็มไปด้วยความสุข เราอาจหมายถึงที่เหล่านี้ว่าเป็น Himalayan Utopia หรือ Buddhist Pure Land ก็ได้

ตามนิยายแล้วแชงกรีล่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาคุนหลุน และเนื่องจากความนิยมของนิยายเล่มนี้ ทำให้ชื่อของแชงกรีล่าโด่งดัง ทางการจีนที่เข้าใจถึงวิถีแห่งการตลาดจึงไม่รอช้าที่จะนำชื่อแชงกรีล่ามาใช้ประโยชน์ในการโปรโมทเมืองยุทธศาสตร์ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน โดยเปลี่ยนชื่อเมือง จงเตี้ยน (Zhongdian) เป็น แชงกรีล่าในปี 2001 ซะเลย

ดังนั้นแล้ว นักท่องเที่ยวทั่วทุกหนแห่งจึงไม่รอช้าที่อยากจะเข้ามาสัมผัสดินแดงแชงกรีล่าในตำนาน ทุกๆหน้าโฆษณาโปรแกรมทัวร์ในหนังสือพิมพ์จึงทำการโปรโมทโปรแกรมทัวร์โดยใช้คำว่า "แชงกรีล่า" กันอย่างตรงไปตรงมาและถึงพริกถึงขิง ตามเป้าหมายวิสัยทัศน์ของทางการจีน สำหรับคนไทยแล้วโปรแกรมทัวร์ส่วนใหญ่รวมถึงผู้ที่ Backpack ไปเองจึงมักเริ่มต้นที่เมืองคุนหมิง (Kunming) ในมณฑลยูนนาน ลัดเลาะไปตามทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเยี่ยมเยียนเมืองต้าลี่ (Dali) จากนั้นจึงไปเมืองลี่เจียง (Lijiang) แวะหุบเขาเสือกระโจน และไปลงเอยที่เมืองจงเตี้ยน (Zhongdian) หรือที่เปลี่ยนเป็นเมืองแชงกรีล่า (Shangri-la) ตรงนี้นี่เอง

หลายๆคนที่กลับมาจากทริปแชงกรีล่ารูปแบบนี้คงได้อิ่มเอิบใจกับการเดินเล่นในเมืองลี่เจียง และระคนใจว่าเหตุใดเมืองจงเตี้ยนถึงถูกเรียกว่าเมืองแชงกรีล่าทั้งๆที่ไม่ตรงกับความความคาดหวัง

ในหนังสือ Lost Horizon ชื่อของ 'หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน' ถูกนำมาเรียกบ่อยครั้งจนเมื่อครั้งใดที่ตัวละครหลักในหนังสือปรากฏตัวออกจากอาคารที่พักทุกครั้งแล้วพวกเขาต้องได้เห็น ภูเขาหิมะสีขาวทรงปิระมิด ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ข้างดินแดนแชงกรีล่าจนเหมือนเป็นตัวละครแห่งแทพเจ้าตัวตนหนึ่งเลยทีเดียว

ย้อนกลับมาในยุคช่้วงต้นศตวรรษที่ 20 ช่วงที่ เจมส์ ฮิลตัน (James Hilton) เขียนหนังสือ Lost Horizon ในพื้นที่อีกแห่งหนึ่งในเมืองลี่เจียงของจีน นา่ยโจเซปป์ ล๊อค (Joseph Rock) ชาวตะวันตกเชื้อสายอเมริกันออสเตรียน เป็นชาวตะวันตกยุคแรกที่เข้าไปสำรวจ วิจัยพื้นที่ในแถบเสฉวน-ยูนนาน โดยหน้าที่แล้วเขาต้องออกไปสำรวจปีนเขาเพื่อทำงานให้กับนิตยสาร National Geographic ในสมัยนั้น เขาเป็นผู้พิชิตสามยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ เซียนหน๋ายหรือ (Shenrezig) , หยั๋งเหมยหย๋ง (Jambeyang) and เซียนะเดาจื๋อ (Chanadorje)
ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หย่าติงหรือ Yading Nature Reserve เขาเป็นผู้แรกที่ได้ถ่ายภาพยอกเขาสีขาวทรงปิรามิดออกมาให้ชาวจีนและชาวโลกได้เห็น และนั่นมีที่มาว่าที่นี่แหละคือแรงบันดาลใจของ แชงรีล่า หรือ หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินทรงปิรามิด ที่ James Hilton เขียนหลังจากได้เห็นภาพผลงานภาพถ่ายของ Joseph Rock ที่ตีพิมพ์ออกมา และหยิบยืมคำ Shambala ที่หมายถึงสถานที่อันสงบสุขทางจิตวิญญาณของธิเบตมาผันเป็นชื่อ "Shangri-la" และตำนานของแชงกรีล่าก็ได้เกิดขึ้น ณ ที่ตรงนี้

และที่นี้เองคือการออกตามหาแชงกรีล่าของผม

--------


ทริปของผมไม่ได้เริ่มต้นจากคุนหมิง ต้าลี่ ลี่เจียงและจงเตี้ยน(แชงกรีล่า) อย่างที่เขาทำกัน แต่จะเริ่มลงเครื่องจาก เฉินตู (Cheng Du) เมืองหลวงของมณฑลเสฉวนมุ่งไปทางตะวันตกไปถึงหลี่ถัง (Li Tang) และมุ่งลงใต้ไปทางเต๋าเชิง (Daocheng)เพื่อไปสุดที่หย่าติง (Yading Nature Reserve) จากแผนที่จะเห็นว่า จริงๆแล้วจุดมุ่งหมายของสองทริปไม่ได้ไกลจากกันเท่าไหร่เลยเพียงแต่ไปมากันคนละทาง


การเดินทางครั้งใช้เวลาทั้หมด 11 วัน เดินทางโดยการเช่าเหมารถส่วนตัวเพื่อเป็นการประหยัดเวลา จริงๆใครก็เดินทางด้วยตนเองได้ แต่เส้นทางนี้เมื่อนับจำนวนชาวต่างชาติแล้ว พบเห็นได้น้อยมาก ซึ่งก็เป็นการยากกว่าทุกๆประเทศหากคิดจะเดินทางแบบ Backpack ถ้าไม่รู้ภาษาจีนพื้นฐานเลย ยิ่งไกลออกไปเท่าไหร่ยิ่งไม่สามารถสื่อสารกับคนได้ การหาที่หลับที่นอนออกจะลำบากไม่น้อย และต้องเผชิญกับความสูงที่มากกว่า 4,000 เมตรในหลายๆครั้ง และครั้งหนึ่งสูงเกือบถึง 5000 เมตร อาจเป็นปัญหากับโรคแพ้ความสูงได้

สำหรับคนจีนแล้วเขาเรียกว่า เส้นทางสวรรค์ของนักถ่ายภาพ ในฤดูกาลท่องเที่ยวเดือนตุลาคมจะเต็มไปด้วยตากล้องชาวจีนและขาตั้งกล้องมีให้เห็นตลอดทาง ความสวยของที่นี่อยู่ที่ข้างทาง ดังนั้นหากเดินทางโดยรถโดยสารอาจจะพลาดช็อตดีๆระหว่างทางไปหลายช็อต

เมื่อเริ่มต้นเดินทางลงที่เมืองเฉิงตู หลายๆคนคงไม่พลาดที่จะไปชมระบำเปลี่ยนหน้ากาก เพียงแค่สะบัดหน้าหน้ากากก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพอๆกับการกระพริบตา (ใครถ่ายทันตอนเปลี่ยนนี่ถือว่าเมพขิงๆ) เป็นเทคนิคกลไกตามภูมิปัญญาที่มีมาตั้งแต่โบราณ

อีกที่ๆไม่ควรพลาดไปชมคือ สุสานขงเบ้ง (Zhuge Liang Memorial Hall) ข้างๆเป็นถนนคนเดินที่สามารถหากิน BBQ รสเผ็ดซ่านเสียบไม้อันใหญ่คลุกด้วยพริกป่นผสมผงชูรสตามความนิยมของชาวเสฉวน ดูการแคะหูหรือที่โน่นเรียกว่า Ear Massage ตามถนนสองข้างทาง ดูแล้วจั๊ํกจี้พิลึก


ตามเส้นทางไปหลี่ถัง จะผ่านเมือง Xinduqiao , Luding และ Kangding เมื่อเริ่มออกจาก Kangding จะเริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองในเดือนตุลาคม เส้นทางจะเริ่มขึ้นเขา นั่งรถกันสะบักสะบอมเป็นวันๆ ใครเมารถต้องเตรียมยาแก้เมาไว้ให้ดี และเพื่อป้องกันโรคแพ้ความสูงเราควรทานยา Diamox ตั้งแต่เนิ่้นๆ เตรียมกระเทียมอัดเม็ดและซื้อออกซิเจนกระป๋องไว้ให้พร้อม ตามเส้นทางนี้ Mugecuo Lake เป็นจุดที่ควรแวะชมทะเลสาบที่สวยงาม แต่การมาเมืองจีนต้องเตรียมใจให้ดีๆเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละที่แพงมาก

สำหรับที่นี่ถ้าถ่ายรูปควรมาตอนเช้าครับจะได้ไม่ย้อนแสง

เมื่อเริ่มเข้าสู่หลี่ถัง (Li Tang) ถนนหนทางจะเริ่มเปลี่ยนไปเนินหัวโล้นดูเวิ้งว้างและแห้งแล้งสมกับเป็นธิเบต ในฤดูอื่นหญ้าหรือพืชที่เป็นพุ่มเตี้ยคงเป็นสีเขียว ที่เมืองหลี่ถังเองมีชื่อเสียงในเทศกาลขี่ม้า ในตัวเมืองดูสกปรก คนไม่เป็นมิตร ที่พักแย่ เป็นเมืองที่ผมไม่ชอบเลยติดอันดับต้นๆเลยทีเดียว ถึงจุดนี้เราผ่าน La ที่มีความสูงมากพอสมควรเช่น Gaoaersi ที่สูงถึง 4412 เมตร ด้านบนประดับประดาไปด้วยธงมนตรแบบธิเบตสีสันสวยงาม


เส้นทางเวิ้งว้างระหว่างทาง


เริ่มออกจากหลี่ถังเราก็ได้เห็นผูงจามรีมากมายหากินเป็นจุดๆ ไต่อยู่ตามเขาผมพบที่นี่มากกว่าเนปาลเสียอีก จอดรถทั้งถ่ายรูป ทั้งพักฉี่เพราะที่สูงหนาวจะฉี่บ่อย รวมทั้งยืดเส้นยืดสายกันบ่อยครั้ง
ข้อควรระวังคือ ที่นี่ชาวธิเบตนิสัยไม่ค่อยจะดีโดยเฉพาะตามจุดที่นักท่องเที่ยวผ่าน มีทั้งมาเฟียและขอทาน โดยเฉพาะเด็กๆที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย(น่าถีบมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา) ควระะวังให้ดีๆเพราะคนที่นี่ได้รับเงินเดือนจากทางการจีนทำให้ระบบความคิดค่อนข้างแย่ว่าต้อง take ทุกอย่าง และการศึกษาไม่ได้ดีเท่าไหร่รวมถึงเรื่องมารยาท คนท้องถิ่นรวมถึงผุ้ประกอบการที่เป็นคนธิเบตมักเข้าข้างพวกตัวเอง ดังนั้น ชาวต่างชาติอย่างเราเมือ่เจออะไรอย่าทำอะไรห่ามๆ แม้จะต้องอดกลั้นมากมายสักเท่าไหร่ก็ตาม

ที่ราบแห่งเดียวในดินแดนนี้ หลี่ถัง


เมืองและความสวยงามที่อยู่รอบตัวเราข้างทาง



Zhaga Monastery บนมุมสูง


จริงๆคนดีๆก็มีนะครับ ทั้งยังน่าสงสารด้วย รูปนี้เป็นทะเลสาบข้างทางเมื่อเราลงใต้ผ่านเขา Haizi


เมื่อมาถึงเมือง เต๋าเชซิง (Daocheng) ก็ไม่ควรพลาดหญ้าสีแดงสวยสดงดงาม ถ้าใครเห็นในรูปแล้วอยากมาเยือนก็ยินดีครับแต่ต้องแจ้งให้ทราบว่ามันไม่ได้มีตลอดทาง มีเพียงบึงข้างทางอันหนึ่งที่มีชาวบ้านเก็บเข้าไปชมเท่านั้นขนาดไม่ใหญ่เล็กกว่้าสนามฟุตบอล ภาพที่เห็นเป็นเพียงมุมมองจากภาพถ่ายครับ ฉากหลังเป็นต้นสนสีทองที่เสียดายว่าเริ่มร่วงแล้วจึงไม่ได้เห็นตอนที่มันสีเหลืองเต็มต้นเท่าไหร่ครับ



และแล้วก็มาถึงย่าติงจุดมุ่งหมายปลายทางของทริป ที่นี่เราต้องพักที่เมือง ยื่อหว๋า (Ri Wa) เท่านั้นแล้วนั่งรถเข้าไปชมที่ Yading Nature Reserve ที่นี่มีโรงแรมดีๆ และกำัลงผุดขึ้นหลายแห่งเป็นเมืองเล็กๆเท่านั้น ถ้าใครอยากนอนค้างด้านในก็มี Yading Village ที่มีโรงเต๊๊ยมซกๆ แต่ต้องบอกว่าจาก Ri wa ไม่มีรถโดยสารอีกต่อไปครับ ถ้าใครจะไปต้องเหมาหรือติดรถเขาไปสถานเดียว ยากลำบากแก่ชาว Backapacker มากๆ ส่วนที่แอบไปนอนด้านในนั้นใจจริงผมก็อิจฉาแต่มันเสี่ยงและการนอนถึงกับเลวร้ายเลยทีเดียว อยากเหมือนกันครับที่จะได้ภาพพระอาทิตย์ขึ้นตัดกับภูเขาหิมะด้านใน แต่ก็เห็นมีคนที่เข้าไปแคมปิ้งข้างในได้แต่ต้องขึ้นไปบนๆแถวๆ Milk Lake มั้ง ที่มั้งเพราะไม่ชัวร์เลยจริงๆครับ ระวังดีๆนะครับถ้าแอบทำ เราอยู่ที่ประเทศจีนที่กฏหมายแรงมากๆนะครับ

ขออธิืบายย่าติงนิดนึงว่าที่นี่รถจะถึงแค่ปากทางเข้า หลังจากนั้นมีบริการม้าให้ขี่หรือจะเลือกเดินขึ้นเขาก็ได้ ให้ระวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อขึ้นม้าแล้วคนจูงม้าจะยิ้มอย่างมีน้ำใจขอช่วยถือกระเป๋าให้เราเป็นอย่างดี แต่อย่าให้ถือเป็นอันขาดเพราะเมื่อลงม้าแล้วจะถูกไถตังค์อย่างเลวร้าย คนที่นี่ไม่มีใครช่วยเหลือบริการอะไรเราหรอกครับ ค่อนข้างเย็นชาผิดกับทิวทัศน์ที่เราได้เห็นสนภูเขาเปลี่ยนสีเป็นสีทองเหลืองอร่ามเต็มทั่วภูเขา เป็นภูมิทัศน์ที่ตระรการตาเป็นอย่างยิ่งครับ จุดนี้คือเมื่อลงม้าแล้วเดินขึ้นอีกสักสิบนาทีจะเรียกว่า Shenshui ตรงนี้จะเห็นทิวทัศน์สวยงาม โดยเฉพาะยอด Xianuoduoji ที่เห็นอยู่ไกลๆเป็นรูปปิรามิด เขาลูกนี้แหละครับที่คาดว่้า Joseph Rock ถ่ายภาพมาให้ James Hilton เขียนเป็นนิยาย Lost Horizon นอกจากนี้ยังมีอีกลูกหนึ่งที่น่าจะใช่เช่นเดียวกัน ที่นี่มีภูเขาหิมะ 3 ลูกที่อยู่คนละทิศ เรียกกันว่าเป็น Three Sacred Moutain


ลำธารและทิวทัศน์ป่าสนระหว่างทาง สีสันจัดจ้านและเงาไม้ ลด contrast ในกล้องเยอะๆน่าจะดีครับ


จุดนี้คือทะเลสาป Pearl Lake เป็นจุดที่ต้องถ่ายรูปย้อนแสงสถานเดียวหากต้องการสนสีทองประดับในภาพ เพราะอาทิตย์เดือนตุลาคมจะอ้อมภูเขา Xiannai Ri ลูกนี้พอดี หลายๆคนบอกว่าถ้ามาตอนเช้าน้ำยังไม่ถูกลมจนมีคลื่นสามารถเห็นเงาภูเขาสะท้อนน้ำได้ครับ การเดินทางจาก Shensui เมื้อกี้แยกซ้ายขึ้นไปจะผ่าน Chonggu Monastery สามารถเลือกเดินขึ้นหรือใช้บริการเสรี่ยงที่อยู่สองข้างทาง (จ่ายตลอดงาน)


ถึงตรงนี้ต้องทำใจเพราะทางการจีนทำทางเดินไม้ให้เปรอะรำคาญใจคนถ่ายภาพไม่น้อย แต่ถ้าคิดว่าเป็นพร๊อพก็จะรู้สึกดีขึ้นครับ เมื่อเดินย้อนกลับมาที่ Shensui จะมีจุดขึ้นรถ Shutter Bus ไปจุดชมวิวอีกจุดที่เรียกว่า Cow Farm ถ้าเดินก็คงอ้วกไม่น้อย ดังนั้นจ่ายเถอะครับ รูปนี้เป็นยอด Xianuoduoji ที่เห็นอยู่ไกลๆมาปรากฏให้เห็นใกล้ๆอีกครั้ง บนคนละมุมมอง


ืทิวทัศน์บน Cow Farm


ขออภัยครับช่วงที่ผมไปฟ้าไม่ดีเอาเสียเลย เมฆเต็มไปหมด ดังนั้นภูเขาลูกสุดท้ายที่สุดแสนจะเป็นปิรามิดก็ชวดไปเพราะเมฆบังตลอด ขนาดขึ้นมาที่เดิมยังชวดทั้งสองครั้ง ให้ดูกันว่าเห็นได้เพียงแค่ไหน ธรรมชาติคือสิ่งที่เราเอาชนะไม่ได้จริงๆ



เรามุ่งหน้ากลับทางเดิมส่วนคนที่อยากได้แชงกรีล่าเต็มรอบ จาก Ri wa มุ่งกลับไปทาง Daocheng แล้วตัดไปทางตะวันตกต่อไปจะเข้ามณฑลยูนนาน แวะเที่ยวชมเมืองที่โด่งดังอีกแห่งชื่อว่า เต๋อชิง (Deqin) แล้วค่อยมุ่งเข้าสู่จงเตี้ยน (Zhongdian) หุบเขาเสือกระโจน (Tiger Leap Gorge) ลี่เจียง (Lijiang) ต้าลี่ (Dali) แล้วค่อยกลับทางคุนหมิง (Kunming) ก็ได้ครับ หรือจะย้อนสวนทางมาแล้วไปจบที่ เฉิงตู (Cheng Du) ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องเผื่อเวลาสักหน่อย อย่าเร่งเพราะมันเป็นเส้นทางที่ทุลักทุเลพอสมควร อยากให้ใช้เวลาสัก 2 อาทิตย์หากคิดจะเที่ยวเต็มรอบ

กลับมาทางที่ผมต้องกลับไป เนื่องจากจุดมุ่งหมายปลายทางแชงกรีล่าที่แท้จริงก็ได้ยลแล้ว ผมไม่ได้ไปอีกครึ่งรอบที่เหลือ (วันหนึ่งจะไปให้ได้) จึงย้อนกลับทางเดิมขาเดียวกับที่มา (ดูแผนที่ประกอบ) เราได้อ้อมแวะไปดูเมือง Tagong และ Dunba อีกสักหน่อยจึงกลับเ้ข้าเฉิงตู มันไม่มีอะไรมากเพียงแต่อยากแชร์ว่าเราได้เจอครอบครัวขอทานชาวธิเบตน่ารักๆถึงสองครอบครัว

ครอบครัวแรกเราเห็นที่ร้านหม้อไฟที่จับโยนปลาที่อาศัยบนที่สูงเป็นๆลงไปในหม้อไฟ เจอสองพี่น้องน่ารักๆ มาพร้อมคุณยายที่คาดว่าดูแลหลานๆ ครอบครัวนี้เป็นขอทานที่เมื่อนักท่องเที่ยวทานเสร็จคุณยายจะเข้ามาในร้านๆดูๆในหม้อว่าเหลืออะไรให้กินได้บ้าง ยายคนนี้สอนหลานให้มีมารยาทดีไม่เหมือนกับเด็กเปรตครอบครัวอื่นที่เห็ฯมา น่ารักจริงๆครับ ไม่เคยเห็นใครยิ้มสดใสจริงใจขนาดนี้มาก่อนเลย ยายแกก็น่ารักดี


สองข้างทาง ทิวทัศน์เหมือนเดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม


อีกครอบครัวหนึ่งคือเราพบที่ Tagong Monastery จนเราลืมตัดวัดไปเลย เป็นพ่อกับลูกสาวที่ออกมาขอทานรอบวัดครับ คนพ่อตาบอดมัดเชือกไว้กับเอวลูกสาวเข้ากับมือของตัวเองนับลูกประคำ มืออีกข้างหมุนกงล้อสวดมนต์ธิเบตไปด้วย เป็นภาพที่น่าเอ็นดูและสงสารเพราะลูกสาวต้องพาพ่อมาขอเรี่ยไรเงินจากนักท่องเที่ยวเพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งต้องเรียนรู้วิธีเต้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งๆที่อายุยังอยู่ในวัยเล่นซนแท้ๆครับ เนื้อตัวสกปรกมือข้างนึงเป็นหิด เราช่วยให้ของและเงินเท่าที่จะทำได้ เห็นภาพทั้งพ่อและเด็กดีใจอย่างไม่มีอะไรปิดบังแล้วน้ำตาแทบไหล เป็นภาพที่ซึ้งมากขนาดมีจีนมุงเต็มไปหมด คนที่อยู่แถวนั้นบอกผ่านไกด์มาว่า ไม่มีใครทำให้ขอทานถึงขนาดนี้ทุกคนแสนจะรังเกียจ เราเจอสองพ่อลูกนี้อีกครั้งทีข้างวัดที่มาหมุนกงล้อ น่ารักมากๆภาพเด็กยิ้มโบกมือมองจนลับตา


ความสดใจของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ


ภาพทั่วๆไปรอบวัด



เป็นทริปที่มีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นในชีวิตเป็นอย่างมาก ขอจบปิดทริปแต่เพียงเท่านี้ครับสำหรับดินแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเสฉวน เมืองจีนยังคงมีอะไรดีๆอีกมากมายให้ได้ดู ให้เราได้เรียนรู้คน ได้เห็นชีวิตวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนเมืองไทย ได้เห็นห้องน้ำที่ไม่รู้ว่านี่คือโถฉี่หรือโถขี้ จนเห็นขี้ไหลมาจากคอกข้างๆถึงได้รู้ว่ามีคนนั่งยองๆอยู่ อาหารที่เผ็ดซ่านแปลกๆจนเวียนหัว ห้องนอนดีที่สุดในเมืองที่มีหนูวิ่งในตอนกลางคืน ได้เห็นน้ำใจงาม ได้เที่ยวผับจีน สั่งอี่เก้อผีจิ่วเลยได้ไทเกอร์ผีจิ่ว เห็นความอลังการและความรวยของประเทศจีนที่อยู่ๆอยากมีสี่แยกในภูเขามันก็เจาะได้ เห็นประเทศของเราที่หันกลับมามองแล้วร้อง..เฮ้อ ประเทศอะไรวิ่งถอยหลังได้ (เฉลย..ประเทศไทย) เห็นวัยรุ่นขอทานมือไม้ครบ 32 แต่ไม่ให้ตังค์มันบอก 'กูจะเตะมึง' ได้เห็นหญ้าหนอนหรือถั่งเช่าตัวนึงหลายพัน(พืชอะไรของมันฟร่ะ..!?) เห็นสิ่งดีๆต่างๆมากมายที่อยู่รอบตัวเรา โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา แต่เราที่ต้องหมุนรอบตัวโลกเพื่อเรียนรู้ต่างหาก นี่ล่ะมั้งคงคือความหมายของการเดินทาง ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสครบทั้งห้าประสาท ได้เห็นสิ่งดีและไม่ดีทุกก้าวที่เราเดินหมุนรอบโลก อยากขอบคุณคนดีๆที่อยู่รอบเส้นทางและขอบคุณคนดีๆที่รอคอยเราอยู่ที่บ้าน

คำขอบคุณ
อาสุเชฏฐ์และไปป์ที่มอบสิ่งดีๆสำหรับทริปนี้, บิลลี่ หวู ไกด์จอมตะกละ กะล่อน เปิ่น แต่่จิตใจช่วยเหลือดี๊ดี , คนขับรถ (จำชื่อไม่ได้), เจ้าของเวบ portfolios.net , พ่อแม่ แฟน
และตัวเองที่ได้ออกเดินทาง..อีกครั้ง

ขอบคุณครับ
เท้ากลม (นามปากกาชั่วคราว)
ปกติเขียนและโพสภาพที่ http://chaoyun.multiply.com


ติดตามดูญาติของพวกผมได้ที่ Panda Channel ตลอด 24 ชม.เหมือน 7-11 ได้ที่ True Vision นะฮับ ...

Views: 33097

Replies to This Discussion

ว๊าว อยากไปสักครั้งในชีวิตจัง
สุดๆ ภาพสวยมากเลยค่ะ ยิ่งอ่านเรื่องด้วยยิ่งอินใหญ่ อยากไปในบัดดล >/body>
สุดยอดมากครับ

อยากไปแล้วสิ

กำลังจะไปสงกรานต์นี้ แต่ไปกับทัวร์ ถ่ายรูปสวยมากๆเลยค่ะ จะบอกว่าถั่งเช่าเป็นยาจีน ถ้าอยากรู้สรรพคุณจะถามหม่าม้ามาให้

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service