‘Michael Jackson’s This Is It’ พลังชีวิตหลังความตาย


งานศพและพิธีการฝังศพซึ่งอยู่ในความสนใจและมีคนอยากร่วมในประวัติศาสตร์ตรงจุดนั้นด้วยมากที่สุด ผ่านไปอย่างยิ่งใหญ่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก

เมื่อไมเคิล แจ๊คสัน ตาย ทำไมโลกต้องร้องไห้เพื่อเขา

ความตายของเขา ได้ทำให้ไมเคิล แจ๊คสัน กลายเป็น ‘อมตะ’ ไปโดยแท้จริงอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น ความตาย คือ ความเป็นอมตะ (โดยเฉพาะคนที่สร้างสรรค์งานในเชิงพาณิชย์ศิลป์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น)

ไมเคิล แจ๊คสัน ถูกบรรจุอยู่ในใจของโลกดนตรีและแฟนเพลงไปตลอดกาลชั่วนิจนิรันดร์
...
โลกร้องไห้เพื่อ ‘ไมเคิล แจ๊คสัน’
ไมเคิล แจ๊คสัน ได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็น ‘ราชาเพลงป๊อป (King of Pop)’ ด้วยความเต็มใจจากเจ้าตัว ซึ่งธุรกิจและอุตสาหกรรมดนตรีต่างก็ชอบสมญานามนี้ โดยวัดจากความสำเร็จผ่านยอดขายอัลบั้ม คอนเสิร์ต และสินค้าต่างๆ
ส่วนสื่อมวลชนและนักวิจารณ์พิจารณาจากรางวัลทางดนตรี โดยเฉพาะรางวัลแกรมมี่ที่ได้มา รวมถึงยอดขายและความเป็นขวัญใจของคนฟังเพลงกระแสหลักที่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด

เมื่อมองให้ลึกลงไปถึงเนื้อใน โดยข้ามผ่านความสำเร็จต่างๆ และเรื่องราวสนุกเคล้าน้ำตาของไมเคิล แจ๊คสัน ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่ถูกผู้คนคลั่งไคล้ติดตามจับจ้องมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

ถ้าไม่มีเขาเกิดขึ้นมา โลกดนตรีจะเดินทางมาถึงจุดนี้อย่างยุคปัจจุบันหรือไม่…???

ความสามารถในเชิงชั้นทางดนตรี การร้องเพลง และการแสดงของ ไมเคิล แจ๊คสัน นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดมาจากพรสวรรค์ที่มาผนวกรวมกับการบ่มเพาะจากเบ้าหลอมของครอบครัวดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ รวมกับการฝึกฝนทักษะในศาสตร์ทางด้านดนตรี การขับร้อง และการแสดงที่หนักหน่วงภายใต้การเคี่ยวกรำของผู้เป็นพ่อ ทำให้พลังในพรแสวงของเขาถูกผนึกกลืนกลายกับพรสวรรค์อย่างแยกกันไม่ออก และนำไปสู่ความเป็นเลิศที่เป็นอัจฉริยะเหนือคนดนตรีที่ร่วมสมัยเดียวกัน

เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ ไมเคิล แจ๊คสัน เป็นอยู่ตั้งแต่เกิดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต จึงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ถูกหนุนเนื่องจากแรงเหวี่ยงของยุคสมัย โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางภาพและเสียง รวมถึงความอลังการของคอนเสิร์ตที่สามารถสะกดคนฟังและคนดูให้อิ่มเอิบกับบทเพลงที่ถ่ายทอดมาจากตัวของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม

เส้นทางเดินในถนนดนตรีภายใต้การทำเงินอย่างมหาศาลให้กับตัวเขา ธุรกิจและอุตสาหกรรมดนตรีที่ขับเคลื่อนผ่านงานของเขา จะพบได้ว่ามาจากกการปูพื้นตั้งแต่เด็กในนาม ‘แจ๊คสัน ไฟว์’ ก่อนที่มาสุกงอมเต็มที่ในฐานะโซโล่ อาร์ตติสท์หรือศิลปินเดี่ยวนั้น ถือเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง

ในช่วงรุ่งโรจน์เรืองรองสุดของยุคทศวรรษที่ 80 นับได้ว่า วงการดนตรีของอเมริกาและของโลกได้เชื่อมต่อเปลี่ยนผ่านจากวิธีคิดหลักในการขายเพลงจาก โปรดักส์ เซ็นทริค หรือเน้นคุณภาพของตัวงานเพลงและดนตรีเป็นจุดขาย ก้าวเข้าสู่ยุคมาร์เก็ตติ้ง เซ็นทริค ที่ใช้การตลาดนำตัวเพลงและดนตรี โดยลดทอนคุณค่าของเพลงเป็นแค่สินค้าประเภทหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ทั่วไป

สำหรับงานเพลงของไมเคิล แจ๊คสันเองนั้น มีความเข้มข้นในการสร้างสรรค์และรังสรรค์งานเพลงและดนตรีป๊อปแด๊นซ์ที่มีพื้นฐานของบทเพลงคนแอฟริกัน-อเมริกัน กอปรรวมดนตรีโซล, อาร์แอนด์บี, ฟังค์, ดิสโก้, ร็อค มาสู่บีทที่ใหม่กว่าด้วยเทคโนโลยีทางเสียงซินธิไซเซอร์ กลายเป็นอัตลักษณ์ทางดนตรีและบทเพลงของเขาที่เลอเลิศเข้าไปอยู่ในใจของคนฟังเพลงร่วมสมัย นี่คือความเข้มแข็งทางโปรดักส์ เซ็นทริค ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณทางดนตรีที่แท้จริง

การมาถึงของมิวสิควิดีโอของช่องเอ็มทีวี ทำให้ภาพของไมเคิล แจ๊คสัน ยิ่งโดดเด่นด้วยพลังการแสดงและความคิดที่ฉีกหลุดออกไปในการเต้นที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลกนี้ ซึ่งนำไปสู่แรงเร้าใจที่เพิ่มมูลค่าในการทัวร์คอนเสิร์ต ทุกคนอยากดูการแสดงของเขา การดูเพลงคือ มารเก็ตติ้ง เซ็นทริค ที่ไมเคิล แจ๊คสัน สามารถทำควบคู่ไปกับงานเพลงคุณภาพของเขาได้อย่างไม่มีที่ติ

จุดสำคัญอีกจุดหนึ่ง การเปิดกว้างทางสังคมและขยายตัวทางเศรษฐกิจของคนแอฟริกัน-อเมริกัน ที่มีบทบาทมากขึ้นในวงการต่างๆ ทุกจุด โดยเฉพาะความฝันแบบอเมริกันดรีมที่เปิดโอกาสให้กับคนที่มีความสามารถที่เอกอุได้ขึ้นเป็น พ็อพสตาร์ และผงาดขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์ ซึ่งไมเคิล แจ๊คสัน ก็ข้ามผ่านมาได้อย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

และมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น ยิ่งใหญ่กว่าซูเปอร์สตาร์คนอื่น ด้วยการขึ้นเป็น ‘เมกะ ซูเปอร์สตาร์’ ก็คือการแสดงถึงการเป็นศิลปินผู้มีจิตสำนึกห่วงใยโลกและผู้คนบนโลกนี้ ถ้าพูดภาษาทางการตลาดยุคนี้ก็ต้องเรียกว่า ซีเอสอาร์ โดยเฉพาะปรากฎการณ์ผ่านบทเพลง ‘We Are the World’ กับ ‘Heal the World’ ซึ่งสามารถผูกรวมและมัดใจคนทั่วโลกให้พุ่งความสนใจมาที่เขาได้ด้วยภาพลักษณ์ที่งดงาม

หากถามว่า ทำไมโลกต้องร้องไห้ให้กับไมเคิล แจ๊คสัน ก็ต้องตอบว่า ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะดนตรีประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์เป็นอย่างสูง โดยมีแต่พัฒนาการที่ไปข้างหน้า รวมถึงการเสียสละเพื่อสังคมโลกโดยนำตัวเองเป็นแกนกลางก็น่าจะเพียงพอแล้ว

แต่ที่น่าเสียใจยิ่งกว่านั้น ก่อนที่จะเสียชีวิต เขาการกลับมาเพ่งความสนใจที่ดนตรีอีกครั้ง แต่ไม่ทันได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตจริงและทำงานสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่ ทำให้คนทั้งโลกอดเห็นความอัจฉริยะของเขาไปชั่วกาลนาน เพราะถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ วงการดนตรีโลกคงมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นผ่านความคิดของเขาอย่างแน่นอน



...
MJ สุดยอดศิลปินพ็อพยุคโมเดิร์น
ความตายที่พรากชีวิตของซูเปอร์สตาร์ ซึ่งถูกสถาปนาให้เป็น ‘คิง ออฟ ป๊อป’ อย่าง ไมเคิล แจ๊คสัน เป็นเรื่องที่มาอย่างรวดเร็วรุนแรง สะเทือนความรู้สึกของผู้คนจำนวนมาก ทั้งที่เป็นแฟนเพลงและไม่ได้เป็นแฟนเพลง

คอนเสิร์ตที่จะมีขึ้นจำนวน 50 รอบ ที่โอทู อารีน่า กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จึงสลายหายไปกับลมอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่เหลืออยู่ในห้วงเวลาสุดท้ายของไมเคิล แจ๊คสัน จึงมีแค่ภาพเคลื่อนไหว และสียงของเขาเพียงเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ภาพที่ถ่ายไว้ในช่วงการซ้อมคอนเสิร์ต รวมถึงฟุตเตจต่างๆ จึงเป็นทรัพย์สินที่ประเมินคุณค่าไม่ได้ไปแล้วในขณะนี้ และแน่นอนด้วยอุปสงค์และอุปทานของผู้คนทั่วโลกที่ต้องการเห็นความเคลื่อนไหวและการใช้ชีวิตในวันเวลาที่หดสั้นบนเวทีซ้อมคอนเสิร์ต ที่สเตเปิล เซ็นเตอร์ ในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

ภาพเหล่านั้นจึงถูกนำมาเรียงร้อยด้วยชั้นเชิงศิลปะบนแผ่นฟิล์มกลายเป็น หนังสารคดีการซ้อมคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งของโลกดนตรี
...
‘Michael Jackson’s This Is It’
การรอคอยหนังเรื่องนี้ ทำให้เกิดกระแสฟีเวอร์ไปทั่วโลก และหนังเรื่องนี้ก็ลงโรงฉายเพียง 2 สัปดาห์ หรือ 14 วันเท่านั้น โดยเริ่มฉายวันที่ 28 ตุลาคม 2552

หากไมเคิล แจ๊คสัน ไม่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ก็คงไม่มีภาพยนตร์เรื่องนี้ และคนทั่วโลกก็คงไม่ได้เห็นหลังฉากอันวิริยะอุตสาหะ และความเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ที่สมบูรณ์แบบในการทำงาน โดยเฉพาะเบื้องหลังโปรดักชั่นของคอนเสิร์ต ‘This Is It’ สัมผัสได้ถึงความเป็นมืออาชีพและความตั้งใจที่ทุ่มเกินร้อยให้กับงานของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากภาพข่าวของชีวิตส่วนตัวและครอบครัวที่ยุ่งเหยิงผ่านสื่อต่างๆ ที่รุมโหมประดังเข้ามาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งความตายของไมเคิล แจ๊คสัน คล้ายเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดดนตรีในยุคโมเดิร์นอย่างแท้จริง

นอกจากเป็นราชาแห่งดนตรีพ็อพในวัฒนธรรมยอดนิยมของโลกแล้ว หากเอาคำจำกัดความของคำว่า ‘โมเดิร์น’ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะมาอรรถาธิบาย โดยเฉพาะองค์ประกอบของศิลปะของศิลปะดนตรียุคที่ผ่านมา ซึ่งเติบโตเป็นอุตสาหกรรมดนตรีพร้อมกับการขายงานผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการนำภาพมาเชื่อมโยงกับเพลงเพื่อสะกดคนดูทั่วโลกผ่านมิวสิควิดีโอ
ไมเคิล แจ๊คสัน ย่อมเป็นที่หนึ่งและยืนอยู่แถวหน้าสุดอย่างแน่นอน

ยุคโมเดิร์น มีองค์ประกอบของศิลปะก็คือ ความเป็นต้นแบบดั้งเดิม (Originality) ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นของตนเอง และไม่เหมือนใคร เน้นตัวงานที่มีความเป็นเอกภาพ (Unity) ที่เป็นหนึ่งเดียวโดดเด่นเป็นพิเศษ แบ่งแยกงานที่มีคุณค่าและเป็นที่ชมชอบต้องการของตลาดให้เป็นศิลปะชั้นสูง (High Art) ที่เหนือกว่าผลงานดาดๆ ทั่วไป และเน้นเข้าถึงผู้เสพในระดับนานาชาติ (International) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีความเป็นสากล (Universal)

ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงปรากฏอยู่ในตัวงานของไมเคิล แจ๊คสัน ทั้งสิ้น ทั้งตัวบทเพลงและดนตรี รวมถึงการแสดงบนเวที การร้องเพลง การออกแบบท่าเต้น โปรดักชั่น คอนเสิร์ต ทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษของโลกดนตรีป๊อปที่ยิ่งใหญ่เหนือคนอื่นๆ ในฐานะสเปเชี่ยลลิสต์ (Specialist) ที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก

ภาพยนตร์ ‘Michael Jackson’s This Is It’ ได้สะท้อนภาพของการสร้างสรรค์งานดนตรีและบทเพลงของยุคโมเดิร์นผ่านเพลงป๊อปในแบบคนแอฟริกัน-อเมริกันสมัยใหม่ที่สามารถสร้างสรรค์และคิดค้นแนวดนตรีในเอกลักษณ์ของตัวเอง ด้วยคุณลักษณะที่ไม่เหมือนใคร แต่ง่ายต่อการเสพรับและมีพลังทางศิลปะอยู่สูง โดยเฉพาะความสมบูรณ์แบบในทุกอย่าง เพื่อสร้างความสุขและความบันเทิงให้กับผู้เสพฟังให้มากที่สุดจนถึงขั้นทะลักทะล้นออกมา

ภาพสุดท้ายในภาพยนตร์ที่มีแสงสว่างจ้าตัดหมอกควันสีขาวพาดลงสู่ตัวของไมเคิล แจ๊คสัน ที่มุ่งมั่นด้วยท่าเงยหน้า ชูแขนขึ้นและมองขึ้นไปบนอากาศ เปรียบเหมือนความสุขและความสำเร็จของผู้ที่สามารถทำให้โลกจับจ้องเขาเพียงคนเดียว ในห้วงขณะที่เขาเป็นหนึ่งเดียวบนเวที ประดุจศูนย์กลางของจักรวาล

ความเป็นมนุษย์ของไมเคิล แจ๊คสัน ได้ถูกเปิดเผยออกมามากที่สุดเท่าที่จะมากได้อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะส่วนมากเท่าที่ผ่านมา จะเห็นผ่านตาจนเคยชินด้วยภาพลักษณ์ที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม หรือภาพข่าวที่ถูกลอบถ่ายในอิริยาบถต่างๆ แต่บนเวทีเขาดูเหมือนผ่อนคลาย มีสมาธิที่ทุ่มเทรีดพลังงานทั้งกายและใจออกมามากที่สุด แสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะที่มีอยู่ของตัวเขาเองว่า ไม่ได้มาง่ายๆ แต่เกิดมาจากผลของการทำงานหนักและทำอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสัญชาตญาณ

ไมเคิล แจ๊คสัน แสดงให้เห็นว่า การเป็นหนึ่งในโลกที่ทรงคุณค่าไม่ได้มาง่ายๆ ความเป็นเผด็จการเต็มไปด้วยอัตตาผ่านตัวงานและความอ่อนน้อมถ่อมตนย่อมที่จะมาพร้อมกัน เพื่อดุลยภาพของการทำงาน และนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบที่สุด ส่งมอบให้กับคนที่ยอมเสียเงินเพื่อมาสัมผัสกับความหฤหรรษ์และบันเทิงผ่านการแสดงบนเวทีของเขา

‘This Is It’ แม้จะเป็นคอนเสิร์ตที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่การซ้อมที่นำมาเรียงร้อยเป็นภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นโลกหรือจักรวาลของไมเคิล แจ๊คสัน ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และถือเป็นการปิดฉากของศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศิลปะดนตรียุคโมเดิร์นที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีกแล้ว
...
อัตตาอันอ่อนน้อม สะท้อนภาพราชันย์บนเวที
ความเชื่อและความศรัทธาที่เปี่ยมด้วยความเคารพนับถือที่มีต่อ ไมเคิล แจ๊คสัน ของเหล่าทีมงานในทุกระดับได้แผ่ความรู้สึกออกมาสู่ผู้ชมอย่างเห็นได้เด่นชัด รับรู้อารมณ์ได้ว่าพวกเขาไม่ได้เกรงใจเขาในฐานะนายจ้างหรือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกในฐานะ ‘คิง ออฟ ป๊อป’ แต่ยอมรับด้วยหัวใจจริงจากวิธีการทำงานของเขาในทุกส่วนที่เน้นรายละเอียดอย่างใส่ออกใส่ใจ เพื่อนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบที่สุด

‘Michael Jackson’s This Is It’ จึงเป็นหนังสารคดีเบื้องหลังคอนเสิร์ตชื่อเดียวกันกับหนังที่ไม่ได้เกิดขึ้น และเป็นภาพบนเวทีในวันเวลาสุดท้ายของเขา

หลายๆ ฉาก เห็นถึงความเนี้ยบและคมชัดของเขาในฐานะศิลปิน ในบทเพลง ‘I Just Can't Stop Loving You’ ซึ่งเป็นบทเพลงดูโอหรือร้องคู่กันระหว่างชายกับหญิง ในการซ้อมร้องเพลงนี้กับนักร้องสาว ซึ่งเป็นคนร้องประสานเสียงด้วยในคอนเสิร์ตคราวนี้

จูดิธ ฮิลล์ นักร้องลูกครึ่งระหว่างพ่อที่เป็นแอฟริกัน-อเมริกันกับแม่ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น ได้รีดเค้นเสียงร้องออกมาอย่างเต็มที่สุดกำลัง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่าทีมงานและบรรดาแด๊นเซอร์ที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งทำให้ไมเคิล แจ๊คสัน ก็ต้องเพิ่มกำลังขับการร้องให้เต็มศักยภาพของเสียง เพื่อให้ได้สมดุลระหว่างกัน

เมื่อซ้อมจบเพลง ไมเคิล แจ๊คสัน ค่อนข้างที่จะมีอารมณ์ขุ่นมัว เขาบอกกับคนข้างล่างที่ส่งเสียงเชียร์อย่างสุภาพว่า ทำอย่างนี้ไม่ได้ การที่จะให้เขาต้องร้องแบบเต็มร้อยในเพลงระหว่างซ้อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาจะต้องเก็บเสียงร้อง ดูแลรักษาเสียงเพื่อวันแสดงคอนเสิร์ตจริงอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

จุดนี้แสดงให้เห็นความเป็นมืออาชีพของเขาที่บ่งสะท้อนออกมาว่า ผู้ชมคอนเสิร์ตของเขาที่ยอมเสียเงินซื้อตั๋วคอนเสิร์ตต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเสียงร้องและการแสดงบนเวทีของเขาไปอย่างเต็มที่

สิ่งสำคัญที่สุดอีกส่วนในคอนเสิร์ตของไมเคิล แจ๊คสันที่ขาดไม่ได้ ก็คือทีมแด๊นเซอร์ ทุกกระบวนการขั้นตอนตั้งแต่การคัดเลือกและการสัมภาษณ์ หลังจากที่พวกเขาถูกเลือกให้มาร่วมงานตามการชี้ตัวของไมเคิลเอง จะเห็นได้ถึงแรงบันดาลใจที่พวกเขาได้รับมาจากไมเคิลตั้งแต่ในวัยเด็ก เป็นฮีโร่และไอดอลที่พาพวกเขามาถึงจุดนี้ และได้มาทำงานร่วมกันกับศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกดนตรีป๊อป

จากการซ้อมเราจะเห็นถึงความเหนื่อยล้าและความเครียดของทีมแด๊นเซอร์อยู่บ้าง แต่สำหรับไมเคิลเอง ทั้งที่เขาขมวดงานทุกอย่างอยู่ที่ตัวเอง เป็นคนตัดสินใจทุกเม็ด และเต้นบนเวทีระหว่างการซ้อมหน่วงหนักไม่แพ้เหล่าคนหนุ่มในทีมแด๊นเซอร์ แต่เขาไม่ได้แสดงความเหนื่อยล้าออกมา ยังแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างเจนจัดและทุ่มเทอย่างเต็มล้น และพยายามหาจุดที่ลงตัวที่สมบูรณ์แบบอย่างนวลเนียนที่สุด

การให้เกียรติทีมงานเป็นภาพที่เห็นได้ในการซ้อมคอนเสิร์ต แต่จุดที่ไมเคิล แจ๊คสัน แสดงถึงความใจกว้างและพร้อมที่จะเป็นคนผลักดันให้คนที่มีฝีมือได้เปล่งประกายจรัสออกมาบนเวทีคอนเสิร์ตของเขาอย่างไม่มีการปิดกั้น โดยเฉพาะมือกีตาร์โซโล่สาวผมบอลนด์ โอเรียนธี พานาการิส ที่ต้องออกมาจากหลืบข้างเวทีของนักดนตรีสนับสนุน มาโซโล่และเล่นกีตาร์เคียงข้างไมเคิลในบทเพลง ‘Black Or White’

ในระหว่างการซ้อมท่อนโซโล่กลางเพลง ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่ไมเคิลจะมาเคียงข้างโอเรียนธีในช่วงเล่นโซโล่กีตาร์ เขาให้หยุดและบอกให้โอเรียนธีเล่นออกมาอย่างเต็มที่ แช่โน้ตโซโล่ที่คิดว่าเล่นได้สูงและเก่งที่สุดออกมา และพร่ำบอกว่า จุดนี้จะเปล่งประกายตัวเธอขึ้นสู่ผู้ชมได้อย่างเต็มที่

และถูกที่สุดสำหรับไมเคิล คนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ซึ่งเป็นคนฟังดนตรีโดยส่วนใหญ่แล้ว ก็ต้องติดตามว่า มือกีตาร์สาวผมบลอนด์นี้คือใคร และเคยทำงานเพลงมีอัลบั้มออกมาแล้วกี่อัลบั้ม ในฐานะมือกีตาร์ร็อคในสายกีตาร์ฮีโร่อย่างแน่นอน

ทั้งที่ในตัวภาพยนตร์เป็นเพียงการซ้อมเท่านั้น

ผู้กำกับฯ คอนเสิร์ต และเป็นผู้กำกับฯ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไปโดยปริยาย เคนนี่ ออร์เตก้า ได้ทำงานร่วมกับไมเคิล ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน และออกความเห็นแชร์กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

ภายใต้การชี้นำทุกอย่างของไมเคิล สิ่งหนึ่งที่เขาพูดอย่างติดปากคือ ‘ติเพื่อก่อ’ และ ‘พระเจ้าจงคุ้มครอง’ เมื่อการซ้อมคอนเสิร์ตมาถึงวันสุดท้าย ทุกคนต่างมารวมตัวกันล้อมวงเพื่อฟังไมเคิลกล่าวขอบคุณและอำลาเพื่อจะมาเจอกันใหม่ในคอนเสิร์ตที่จะทำการแสดงจริง

ซาบซึ้งกินใจจนดูเหมือนเป็นการอำลาครั้งสุดท้ายไปตลอดกาล

‘Michael Jackson’s This Is It’ เป็นหนังที่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นความยิ่งใหญ่ของไมเคิล ในฐานะมนุษย์ที่เหนือกว่าคนอื่นในโลกของเสียงเพลงและดนตรี รวมถึงการแสดงและเต้นรำที่อยู่ในขั้นอัจฉริยะในพลังที่ทะลักล้นออกมา

และแน่นอน อัลบั้ม ‘Michael Jackson’s This Is It’ ที่เป็นแรงบันดาลใจจากตัวภาพยนตร์ก็ถือว่าเป็นการคัดสรรเพลงของไมเคิล แจ๊คสัน ตามอารมณ์ของหนังมาใส่ไว้ได้อย่างเยี่ยมยอด เพราะฟังแล้วก็สามารถย้อนอารมณ์ไปถึงภาพในตัวภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีทั้ง 16 บทเพลง โดยเฉพาะบทเพลง ‘This Is It’ ในเวอร์ชั่นที่มีวงออร์เคสตร้ามาเล่นเป็นดนตรีสนับสนุน แสดงให้เห็นความเยี่ยมยอดในเสียงร้องของไมเคิลได้อย่างลงลึก

อีกแผ่นที่มีด้วยกัน 4 เพลง เป็นบทเพลงในแบบเดโมหรือเพลงต้นแบบที่ลองทำก่อนที่จะบันทึกเสียงกันจริง จะสัมผัสได้ถึงพลังสร้างสรรค์ของไมเคิลที่ร้อนแรงและเนียนละมุนอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะบทเพลงที่ ‘Planet Earth’ [Poem] ซึ่งเป็นบทกวีที่เขียนขึ้นโดยไมเคิลเอง และเขาก็มาร่ายด้วยเสียงที่แจ่มใสทว่าเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกโศกเครือ

ถือว่าเป็นอัลบั้มที่สมควรเก็บสะสมบนหิ้งซีดีเพลงส่วนตัวอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย
...

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2552
พอล เฮง
paulheng_2000@yahoo.com

Views: 118

Reply to This

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service