หลุยส์ บูร์ชัวส์กับผลงาน 'La Fillette' (เด็กหญิง) ถ่ายโดย Robert Mappelthorpe, 1982
---------------------------------------------
หลุยส์ บูร์ชัวส์ เป็นหนึ่งในประติมากรหญิงที่ได้รับการยอมรับให้ยืนอยู่แถวหน้าของวงการศิลปะโลก
การพบกันระหว่างงานของศิลปินหญิงร่วมสมัยคนนี้กับจริตทางศิลปะของดิฉันอุบัติขึ้น ณ ห้องโถงใหญ่ใจกลางศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งชาติปองปิดู (Centre Pompidou) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2008
'Maman' ('แม่') ประติมากรรมชิ้นยักษ์ในร่างของแมงมุมยืนตระหง่านกางขาที่รกรุงรังของมันขวางบันไดเลื่อนที่นำเราสู่งาน 'Retrospective' ของ หลุยส์ บูร์ชัวส์ (Louise Bourgeois)
แม่แมงมุมหรือแมงมุมเพศหญิงผู้ให้กำเนิดนี้ช่างน่าหลงใหลและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน แข็งกร้าวแน่นิ่งเนื่องด้วยธรรมชาติของวัสดุ แต่กลับให้ความรู้สึกลื่นไหลพร้อมที่จะก้าวขาอันยาวเยียดของมันเข้ารัดรึงผู้ที่จ้องมองอยู่ห่างๆ อย่างหวาดระแวงระคนชื่นชม
งานชิ้นนี้นับเป็นหนึ่งในงานศิลปะร่วมสมัยที่ตระเวนแสดงทั่วโลกมากที่สุดชิ้นหนึ่งก็ว่าได้ แม้แต่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครก็เคยนำผลงานในชุดนี้มาจัดแสดงช่วงปลายปี 2551
เกิดในประเทศฝรั่งเศสในปี 1911หลุยส์ บูร์ชัวส์ย้ายมาพำนักและทำงานที่นครนิวยอร์กตั้งแต่ปี 1938 เธอเป็นหนึ่งในประติมากรหญิงที่ได้รับการยอมรับให้ยืนอยู่แถวหน้าของวงการศิลปะโลก
แม้ว่างานของเธอจะผ่านอิทธิพลศิลปะแนวอาวองการ์ดที่แตกต่างหลากหลายตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 จาก Surrealism สู่ Abstract Expressionism, จาก Minimalism สู่ Feminism เธอยังคงรักษาความเป็นตัวของตัวเองที่สร้างสรรค์และทรงพลังเสมอมา
ข้ามเกี่ยวระหว่าง Figuration และ Abstraction งานของเธอครอบคลุมตั้งแต่ภาพวาด ลายเส้น ภาพพิมพ์ ประติมากรรม สื่อผสมและInstallation ที่มุ่งสำรวจและตอกย้ำหัวข้อเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านการทดลองวัสดุและเทคนิคที่หลากหลายและท้าทายเช่น ลาเท็กซ์ ทองแดง เรซิน หินอ่อน กระจกและผ้า
'Maman', 1999 แสดงที่เทท โมเดริ์น กรุงลอนดอน
--------------------------------
ตลอดชีวิตการทำงานที่ยาวนานหลายทศวรรษ งานของเธอแสดงให้เห็นถึงความเป็น 'ขบถ' ที่ท้าทายบรรทัดฐานทางศีลธรรมของสังคมหลังสมัยใหม่
หัวข้อที่เธอสอบทานล้วนอยู่ใน 'พื้นที่อ่อนไหว' ของสังคม นั่นคือ ประเด็นเรื่องเพศสภาพโดยเฉพาะความเป็นเพศหญิง ความโดด เดี่ยว การร่วมรักและบาดแผลทางกายภาพและจิตใต้สำนึกประเด็นเหล่านี้จะถูกนำเสนอผ่านกระบวนการแปรสภาพเชิงสุนทรียะภายใต้ตรรกะส่วนตัวว่าด้วยเรื่องความทรงจำและการปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึก
ท่ามกลางผลงานที่มากมายและหลากหลายดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น 'ชีวรูปประติมากรรม' (biomorphic sculpture) ซึ่งนำเสนออวัยวะของร่างกายมนุษย์โดยแยกออกมาเป็นส่วนๆ ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายสุนทรียรสของเหล่าผู้เสพงานศิลปะได้อย่างถึงแก่น
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกตรึงด้วยงานประติมากรรมที่พิลึกพิลั่น รุนแรง ไร้ซึ่งจริต หากเต็มไปด้วยเสน่ห์ของเธอ โดยเฉพาะงานที่ตั้งคำถามกับบทบาทของผู้หญิง อย่างเช่นงานชื่อ 'Mamelles' ('หัวนม') ที่ จัดแสดงในนิทรรศการถาวรของ Tate Modern กรุงลอนดอน
'หัวนม' ที่มากมายเบียดเสียดเหล่านี้ถูกแขวนไว้บนผนังราวกับเป็นลวดลายการตกแต่งในสถาปัตยกรรมคลาสสิกของยุโรปประเภทหนึ่งเรียกว่า frieze (บัวหรือสายสลักบนเสา) เราสามารถมองเป็นสัญลักษณ์ของบทบาทหน้าที่การให้นมลูกของผู้หญิง หรืออาจมองว่าเป็นการเสนอภาพของเพศหญิงในแง่ของ 'วัตถุทางเพศ' ในสภาพไร้ซึ่งการปกปิดและบอบบางก็เป็นได้
บูร์ชัวส์มักจะเชื่อมงานชิ้นนี้กับตำนานดอน ฮวน ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์โดยกล่าวว่าหัวนมเหล่านี้ “เสนอภาพของผู้ชายที่อยู่ได้ด้วยการเกี้ยวพาราสีหญิงสาว ผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขาใช้เธอเหล่านั้นเป็นอาหาร หากไม่เคยให้อะไรตอบแทน เขารักได้เพียงแบบเดียวเท่านั้น คือสูบกินและเห็นแก่ตัว”
การนำเสนอ 'ภาพ' ของเพศหญิงผ่านอวัยวะส่วนต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นภาพแทนของความเป็นหญิงแบบดิบๆ นั้นเป็นการตั้งคำถามกับสภาวะที่ถูกทำให้เป็น 'วัตถุทางเพศ' อย่างเปิดเผย เป็นการสำรวจบาดแผลของการมีตัวตนภายใต้ข้อจำกัดทางเพศสภาพที่สังคมกำหนด ด้วยเหตุนี้ บูร์ชัวส์จึงถูกจัดโดยนักสตรีนิยมให้เป็นศิลปินแนวสตรีนิยม แม้ว่าเธอเองจะปฏิเสธป้ายชื่อนี้ก็ตาม
หากย้อนกลับมาพิจารณาผลงานชิ้นเอกของเธอ 'Maman' หรือแม่แมงมุม เราจะพบว่า แม้ชื่อเรียกอาจให้ความรู้สึกอบอุ่น เราคงอดรู้สึกหวาดผวาไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์แปดขาขนาดมหึมานี้ เนื่องจากแมงมุมคือภาพแทนของความกลัววัยเยาว์ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ทุกคน
บูร์ชัวส์เชื้อเชิญให้เราเผชิญหน้ากับความกลัวครั้งเก่าที่เราเคยมีต่ออาณัติของบุพการี แม่แมงมุมนี้คือการเล่นกับความกลัวเพื่อขจัดมัน เป็นการทำให้ความกลัวกลายสภาพเป็นความบันเทิงเชิงสุนทรียะ ผ่านกระบวนการทำให้เลิศเลอของศิลปะ (Sublimation)
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเผชิญหน้านี้เหมือนกับสิ่งที่ Freud นักจิตวิเคราะห์นามอุโฆษเรียกว่า 'ความแปลกประหลาดที่น่าวิตก' (Disquieting Estrangement)
ในงานของบูร์ชัวส์ ความแปลกประหลาดนี้ถูกทำให้เป็นอารมณ์ทางสุนทรียะพอๆ กับความรู้สึกทางกายภาพที่เกิดขึ้นจริง ดังคำกล่าวของบูร์ชัวส์ ว่า “ในเมื่อความกลัวอดีตเกี่ยวเนื่องกับความกลัวทางกายภาพ ความกลัวจึงปรากฏตัวให้เห็นผ่านร่างกาย สำหรับฉัน ประติมากรรมคือร่างกาย ร่างกายฉันคือประติมากรรม”
งานศิลปะจึงไม่ได้เป็นเพียงอุปลักษณ์ของอารมณ์ความรู้สึก หากได้กลายเป็นอารมณ์ความรู้สึกในตัวของมันเองด้วยเช่นกัน
ผ่านความกำกวมพร่ามัวระหว่างวัสดุ รูปทรงและความหมาย งานประติมากรรมเหล่านี้ปลดปล่อยและขับเน้นอารมณ์ความรู้สึก (affects) ที่หลากหลายซึ่งซ่อนตัวภายใต้จิตสำนึกของเรา
ผ่านความลักลั่นระหว่างความงามกับความน่าสะพรึงกลัว งานของบูร์ชัวส์ ตั้งคำถามกับทฤษฎีคลาสสิกเรื่องความงามและเรื่องความเป็นศิลปะในเวลาเดียวกัน
หลุยส์ บูร์ชัวส์จากเราไปด้วยวัย 98 ปีในวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 เหลือทิ้งไว้เบื้องหลังคือผลงานศิลปะหลายร้อยชิ้นซึ่งถือเป็นหมุดปักหลักสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะและประวัติศาสตร์ผลงานสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ
I Do, I Undo and I Redo, 2000, เทท โมเดริ์น กรุงลอนดอน
.............
หมายเหตุ : ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิทรรศการ 'Retrospective' ที่ Centre Pompidou ปี 2008 ได้ที่ www.centrepompidou.fr และสามารถชมวีดีโอประชาสัมพันธ์นิทรรศการพร้อมเสียงร้องเพลงกล่อมเด็กของ Bourgeois ได้โดยเลือกที่ Bande annonce
Louise Bourgeois in 1990,
behind her marble sculpture Eye to Eye (1970)
Photo Raimon Ramis
----------------------------
Louise Bourgeois with Spider IV in 1996, Photo: Peter Bellamy
--------------------------------------------------
Brassai, Louise Bourgeois at the Académie de la Grande-Chaumiére, Paris, 1937, Photo: Louise Bourgeois Archive.
--------------------------------
Louise Bourgeois in the studio of her apartment at 142 East 18th Street in New York, circa 1946
------------------------------------
Pink Days and Blue Days (1997):
----------------------------------
Louise Bourgeois' "Arch of Hysteria," 1993. Courtesy Cheim & Read, Galerie Karsten Greve, and Hauser & Wirth. Photo by Allan Finkelman.
--------------------------------------
TITLE: Janus Fleuri 1968
MATERIALS: Bronze, golden patina
SIZE: h: 10.1 x w: 12.5 x d: 8.4 in / h: 25.7 x w: 31.8 x d: 21.3 cm
STYLE: Modern (ca. 1880-1945)
---------------------------
Louise Bourgeois The Destruction of the Father 1974 Courtesy Cheim and Read, Galerie Karsten Greve and Galerie Hauser & Wirth copyright Louise Bourgeois
------------------------------------
Louise Bourgeois Seven in Bed 2001 Fabric, stainless steel, glass and wood Courtesy Cheim and Read, Galerie Karsten Greve and Galerie Hauser & Wirth copyright Louise Bourgeois
----------------------------
1. REJECTION, 2001
Fabric, lead and steel, 25 x 13 x 12 inches
2.CELL X (PORTRAIT), 2000
Steel, glass, wood and red fabric, 76 3/4 x 48 1/4 x 48 1/4 inches
Image © the artist, courtesy Cheim & Read Gallery, New York
----------------------------------------
Louise Bourgeois, TEMPER TANTRUM, 2000
Pink fabric, 9 x 13 x 20 inches
Image © the artist, courtesy Cheim & Read Gallery, New York
---------------------------
Louise Bourgeois, IN AND OUT, 1995
Metal, glass, plaster, fabric & plastic, 83 x 65 x 113 inches
Image © the artist, courtesy Cheim & Read Gallery, New York
---------------------------------------------------
Louise Bourgeois. Red Room (Child), 1994. Mixed media 210.8 x 353 x 274.3 cm. Collection Musee D'art contemporain de Montreal. Photo: Marcus Schneider © Louise Bourgeois
-----------------------------
Louise Bourgeois
Cumul I
1968
Centre Pompidou, Paris
-------------------------------
1. Blind Man's Bluff, 1984
2.Spiral Woman, 1984
-------------------------------
Louise Bourgeois: When I Was Young, 2008, etching, pencil and fabric, 61 ¾ x 75 3/8 ins
--------------------------
1.No name. Source
2.Louise Bourgeois
Fillette 1968
Estate of Peter Moore, Museum of Modern Art, New York © the artist
Latex over plaster
59.5 x 26.5 19.5 cm
-------------------------------
โดย: วันรัก สุวรรณวัฒนา
Life Style : ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 17 มิถุนายน 2553
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ
Tags:
-
▶ Reply to This