ผู้ชายหลังเลนส์ “โอ๋ ปิยะทัต เหมทัต”


หากจะเกริ่นไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกว่าชีวิตของช่างภาพหนุ่ม “โอ๋ ปิยะทัต เหมทัต” เป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกคนหนึ่ง ก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้มากนัก เพราะนอกจากจะไม่ต้องมานั่งทำงานไปเบื่อไป เหมือนหนุ่มมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไปแล้ว เขายังหาความสุขจากสิ่งที่เขาทำได้อีกด้วย

ถึงชายหนุ่มวัย 33 คนนี้จะมีความฝันเหมือนๆกับที่ผู้ชายส่วนใหญ่ปรารถนา จะใช้ชีวิตเฉกเช่นศิลปิน และอิ่มเอมไปกับงานศิลป์ แต่ผลงานภาพถ่ายของเขาในแกลลอรี่ที่ประเทศอังกฤษ รวมถึงผลงานที่ตีพิมพ์ลงบนแมกกาซีนชื่อดังในต่างแดนเฉียด 2 ทศวรรษ ก็แยกช่างภาพหนุ่มคนนี้จากผู้ชายคนอื่นๆได้ชัดเจน

มหานครลอนดอนหลอมให้เด็กชายเอเชียตัวเล็กๆคนหนึ่งกลายเป็นช่างภาพ ที่น่าจับตามอง หรือเป็นเพราะความสำเร็จทั้งหมดของเขามีองค์ประกอบอื่นๆอีก คอลัมน์นี้มีคำตอบ

“ชีวิตในวัยเด็กของผมค่อนข้างธรรมดานะ ไม่ตื่นเต้นอะไร ผมรู้เพียงแค่ว่า ผมชอบวาดรูป ชอบงานศิลปะเท่านั้น” โอ๋ ปิยะทัต เล่าเรื่องราวสมัยยังเป็นเด็กชายให้ฟัง

เมื่อระบบการศึกษาของไทยไม่อนุญาตให้ เด็กที่หลงใหลงานศิลปะมีโอกาสได้ทำตามความฝัน กระทั่งเบื่อหน่ายจะตื่นไปโรงเรียนในตอนเช้า จนผลการเรียนออกมาย่ำแย่ เรียกว่าสอบตกหมดทุกวิชา เขาจึงโบกมือลาเมืองไทยไปเรียนด้านศิลปะโดยตรง ที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 14 ปี ก่อนบนเข็มไปเริ่มถ่ายภาพด้วยตัวเองในเวลาถัดมา

โอ๋ให้เหตุผลการตัดสินใจว่า “ในช่วงแรกๆของการเรียน เหมือนจะมีความสุขกับสิ่งที่ทำในระดับหนึ่งนะ ไม่รู้หรอกว่าอยากจะมาด้านถ่ายภาพ เพราะสมัยเรียนก็นั่งวาดรูปอย่างเดียว วันหนึ่งขณะนั่งเรียนไปเรื่อยๆ ก็คิดว่า ในเมื่อเราเป็นคนชอบค้นหาสิ่งใหม่ๆชอบเดินทางชอบอะไรแปลกใหม่ “งานถ่ายภาพ” น่าจะเป็นศิลปะที่ตอบสนองตัวเราได้มากที่สุด”

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ตัดสินใจเปลี่ยนความฝันกะทันหันแบบนั้น ทั้งๆที่เรียนวาดภาพมาตั้งแต่แรก โอ๋บอกว่า “มีทุกอารมณ์เลยครับ คือ ทั้งรู้สึกกลัว สับสน ลังเล ไม่แน่ใจ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าทั้งหมดมันต้องลองทำดูก่อน ถ้าเรามัวแต่กลัว ระแวง ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี สู้เราลองออกไปทำอะไรให้มันออกมาเป็นรูปธรรมกับงานนั้นก่อนไม่ดีกว่าหรือ จากนั้นแล้วค่อยประเมินดูว่าเป็นไปได้ไหมกับการเลือกเดินตามในสิ่งที่เรารัก

ถ้าใช่ก็มุ่งไปจนสุดทาง แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าเราจะมีความเป็นศิลปินมากเพียงใด แต่เราก็ต้องอยู่ในโลกของความจริง ที่ยังต้องเดินเคียงข้างไปพร้อมกับความฝัน

จุดหนึ่ง ผมว่ามันไม่ได้เลือกนะ มันเดินไปตามหัวใจที่ชอบมันเป็นไปเอง ซึ่งต้องสู้ฝ่าฟันมาพอสมควร แต่ไม่ใช่ต่อสู้กับใครอื่นนะ หากแต่เป็นการสู้กับตัวเอง ผมคิดว่าทุกอย่างมันจะคลี่คลายลงได้ในตัวของมัน แค่เราทำในสิ่งที่ทำไปเรื่อยๆ ปัญหามันก็จะค่อยคลายออกมาเอง

ส่วนเรื่องเคล็ดลับการทำก็ไม่มีอะไรลึกลับ งานส่วนมากที่ผมทำก็จะเข้ามาเองจากผลงานที่เราตั้งใจทำออกไปสู่ภายนอก อย่างตอนสร้างงานผมจะไม่กังวลอะไร ขอแค่ตั้งใจทำมันให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ผมไม่เคยปประมูลงานแข่งกับใคร ขอเพียงทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด และรอให้งานมาเป็นบทพิสูจน์ด้วยตัวของมันเองดีกว่า”

“แสดงว่างานของคุณไม่ตามกระแส” เราถาม “ผมเป็นคนเกาะกระแสแต่ไม่ไปตามกระแส” เขาตอบนิ่งเรียบ พร้อมขยายว่า “ส่วนมากเท่าที่สังเกต ผมจะนำกระแสเสียด้วยซ้ำ เราแค่เฝ้าดู และรู้ว่ามันกำลังหมุนไปทางไหน เพราะจะเอาแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ได้ ควรศึกษางานเพิ่มเติมว่าทิศทางของงานแบบสากลไปถึงไหนกัน ทำอะไรกันอยู่ แล้วทำอะไรไปบ้าง ส่วนมากเวลาผมดูงานคนอื่นก็เหมือนกับการฟังเพลง ยังไงดีละ! คือรู้สึกดีกับการได้ดูหรือเสพงานนั้น จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจ”

อ่านถึงย่อหน้านี้หลายคนอาจสงสัยว่า ขณะที่ศิลปินในบ้านเราหลายคนเลือกที่จะไปลงหลักปักฐานต่างประเทศ ทำไมเขาจึงบินกลับแสดงผลงานในแกลอรี่ที่เมืองไทย

“หลังอาม่าเสีย ผมก็อยากกลับมาอยู่กับแม่และพี่ชาย ส่วนอีกเหตุผลที่ผมเลือกย้ายกลับมา คือตลอดเวลา 16 ปี ที่อังกฤษผมทำงานเกี่ยวกับ อารยะธรรมตะวันตก ผมไม่เคยทำงานเกี่ยวกับอารยะธรรมเอเชียในประเทศไทยเลย ทั้งๆมีฝรั่งจากทั่วโลกหลายคนใฝ่ฝันที่จะเดินทางมาบันทึกภาพ เรื่องราวต่างๆที่หลากหลายในประเทศไทย”

ถ้าขงจื้อไม่ใช่เป็นคนลวงโลก ด้วยประโยคที่เคยกล่าวว่า “ถ้าคุณรู้ว่างานที่ชอบคืออะไร ชีวิตที่เหลือก็จะไม่ต้องทำงานอีกเลย” ชีวิตของ “โอ๋ ปิยะทัต เหมทัต” ก็คงไม่ต้องข้องแวะกับงานอีกแล้ว เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก ไม่ใช่งาน



ที่มา: ผู้จัดการ / 20 ตุลาคม 2552

Views: 2284

Reply to This

Replies to This Discussion

ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้่ว่าตัวเองรักและชอบอะไร รู้สึกยินดีกับคนที่รู้ และอยากลุ้นให้คนที่กำลังค้นหา รู้คำตอบไวๆ เพราะ"ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว" (คำพูดของ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี) :D

RSS

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service