ส่วนทางเจ้ย อภิชาติพงศ์ ที่เคยร่วมงานกับทางฝั่งนายทุนมาบ้าง ในผลงานอย่างภาพยนตร์ "หัวใจทรนง" ซึ่งทำกับแกรมมี่ แม้ว่าตอนนี้ความบิ๊กเนมของเขา ทำให้เขา (อาจจะ) หาทุนทำหนังได้ ง่ายขึ้น แต่ตัวเจ้ยเองบอกว่า
"ตอนนี้มาคิดว่ามีความสุขกับหนังแบบไหน เคยพยายามทำหนังกับนายทุนมาแล้ว แล้วมันสื่อสารด้วยความไม่เข้าใจกันแล้ว มันไม่มีความสุข รู้สึกว่า เรื่องเงินมันสำคัญ แต่ที่สำคัญด้วยก็คือ สิ่งที่เขา รู้ว่าจะทำอะไรที่เราไม่โกหกกัน อันนี้สำคัญที่สุด เพราะว่า โปรดิวเซอร์ที่ผมทำงานด้วยตลอดก็คือ เราว่ากันซื่อ ๆ คือ จำนวนเงินไม่สำคัญ เราบอกว่าเราอยากทำอะไร ผมไม่ได้มีโปรเจ็กต์เดียว มีหลายโปรเจ็กต์ แล้วเขาจะพยายามช่วยกันพิจารณาว่างบประมาณขนาดนี้เป็นไปได้ไหม"
ฟังดูแล้วการทำหนังแบบนี้ คนทำหนังสบายใจได้หนังที่เป็นหนังในแบบของเขาเอง แต่เอาเข้าจริงปัญหาใหญ่ของการทำงานแบบอิสระก็คือเรื่องการหาทุน การทำการตลาด ไปจนถึงการหาสถานที่ที่ฉายหนัง
อโนชา สุวิชากร เล่าถึงข้อจำกัดนี้ว่า "ตอนนั้นคิดไม่ตกเลย นอกจากหาทุนจากกองทุนต่าง ๆ แล้ว ได้ทางบ้านช่วยในเรื่องทุนอีกส่วนหนึ่ง เราไม่มีงบฯ การตลาด อาศัยปากต่อปากแนะนำ แต่เราก็อึด อดทนไปก่อน พอหนังเจ้านกกระจอกเปิดตัวที่ปูซาน มีโปรแกรมเมอร์จากเทศกาลอื่น ดูหนังแล้วติดต่อมาเราก็ได้ฉายตามเทศกาลต่าง ๆ บางแห่งให้ค่าตอบแทนตั้งแต่ 300-800 ยูโร ก็ไม่เยอะมาก แต่ดีตรงที่พอเจ้านกกระจอกออกฉาย มีงานเข้ามาในบริษัท อย่างการทำหนังสั้น รับผลิตให้ผู้กำกับอิสระ ก็มีรายได้จากตรงนี้"
ส่วนเรื่องสถานที่จัดฉายหนัง แม้ว่าหลายที่จะเปิดพื้นที่ให้กับหนังอิสระได้ เข้ามาฉาย อย่างเช่น ที่โรงหนังในเครือเอสเอฟ ซีเนม่า และโรงหนังในเครือ เอเพ็กซ์ หรืออย่างหอศิลป์ กทม. แต่อโนชาบอกว่า คำตอบที่ดีที่สุดอยู่ที่การจัดให้มี "ซีนีม่าเทค" (cinematheque)
"ก็เป็นเรื่องที่พี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์) พูดอยู่เป็นประจำว่าน่าจะมีซีนีม่าเทค คือหมายถึงว่ามีโรงหนังที่ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรเป็นหลัก ฉายหนังทุกรูปแบบ แต่ในเมืองไทยมีโรงหนังทางเลือก อย่างโรงหนังลิโด เฮาส์รามา ซึ่งก็ดีนั่นแหละ เขาก็ทำในส่วนที่เป็นธุรกิจของเขา แต่ว่ามันต้องเข้าใจว่าคือธุรกิจ มีผลกำไรในการขายตั๋ว มันก็ช่วยได้ในส่วนหนึ่งสำหรับหนังที่อาจจะมีโปรไฟล์ดี แต่ถ้าเป็นหนังเล็กมาก ๆ ตรงนี้ซีนีม่าเทคจะมาดู เพราะไม่ได้มุ่งขายตั๋วอย่างเดียว จุดประสงค์คือเผยแพร่หนังให้คนได้ดูในหลายรูปแบบ ประเทศที่ให้ความสำคัญกับหนังจะมีอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส ข้อดีคือทำให้เกิดวัฒนธรรมการดูหนัง ทำให้เห็นผลระยะยาว สร้างทั้งคนดูหนัง คนทำหนัง ให้พัฒนาไปด้วยกัน"
อโนชาทิ้งท้ายว่า "ทำหนังอิสระแล้วอยู่อย่างสบายไม่มีทางแน่นอน ส่วนเลี้ยงตัวเองยังไม่แน่ใจ ตอนนี้ถ้าประหยัด ๆ ก็คงพอได้ แต่เราได้ทำในสิ่งที่เรา อยากทำ เรามีอิสระในการตัดสินใจ เป็นหนังแบบของเรา คืออยากทำให้มันดี ให้มันเสร็จ อย่างไรก็ตามเราไม่อยากเจ็บตัวนะ"
ต้องดูกันต่อไปว่า การทำหนังนอกระบบสตูดิโอนั้นมาเป็นสัญญาณที่บอกว่า ระบบสตูดิโอกำลังมีปัญหา หรือเป็นเพราะกระแสแฟชั่นเท่านั้น !
โดย: ณัฐกร เวียงอินทร์
ที่มา: ประชาชาติ 7 ตุลาคม 2553
Tags:
© 2009-2024 PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE. Powered by