อารมณ์ติสท์ไร้เดียงสาของ “น้ำผึ้ง - ณัฐริกา”

อาร์ตตัวแม่มาแล้วกับ “น้ำผึ้ง - ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์” ดาราสาวจอแก้วมากบทบาทที่วันนี้จะขอเปิดฝาเทขวดน้ำผึ้งให้เห็นก้นบึ้งศิลปะจากหัวใจหวานๆ ของเธอ 

อาร์ตสายกลาง 

“ศิลปะมันคือการทำสิ่งที่ทำให้จิตใจเรามีความสงบสุข ความสวยงาม ซึ่งน้ำผึ้งเองก็มีครูศิลปะเหมือนกันคือท่านพุทธทาสภิกขุ งดงามอย่างยิ่ง ประณีตอย่างยิ่ง และเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นหลักแนวทางของศิลปะที่ยึดมั่นประจำใจอยู่ และคือคำสอนที่ให้รู้จักดำเนินชีวิตให้มีศิลปะ” 

คุณน้ำผึ้งยังบอกว่า เธอเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ เรียกได้ว่าโดยสันดานเลยทีเดียว เป็นที่มาของศิลปะแบบฉบับน้ำผึ้งนที่มีหลากหลายแขนง นอกเหนือจากงานแสดงมากบทบาทของเธอแล้ว การวาดรูปบนเฟรมผ้าใบก็ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชอบ การสื่ออารมณ์ผ่านสีสันที่ใช้ รวมไปถึงผลงานโฆษณา และบางครั้งก็ได้เป็นผู้ที่ให้แรงบันดาลใจทางศิลปะของหลายๆ คน ซึ่งถือว่าทั้งหมดคือช่องทางและรูปแบบในการแสดงความอาร์ตของเธอ 

“ศิลปะมันแสดงออกได้หลายรูปแบบมาก หลายคนอาจเข้าใจเพียงว่าศิลปะมันคือเฟรมวาดรูป งานประติมากรรม เราต้องแยกระหว่างศิลปะกับสื่อให้ออก คือถึงแม้เราจะสร้างงานศิลปะผ่านสื่ออย่างการวาดรูป แต่หากวาดอย่างไม่จรรโลงใจ ประสงค์ร้ายผู้อื่นมันไม่ใช่ศิลปะ ที่แท้จริง” 

จินตนาการหวานน้ำผึ้ง 

ส่วนเอกลักษณ์งานอาร์ตของดาราสาวคนนี้คือความไม่ซับซ้อน ความเรียบง่าย ตรงประเด็น วาดแบบตรงไปตรงมา อย่างที่ผ่านมาผลงานวาดรูปส่วนใหญ่จะเรียกว่าเป็น งานนาอีฟอาร์ต (Naive Art) หรือศิลปะไร้เดียงสา การขีดเขียนพู่กันที่วาดออกมาจากหัวใจ ไม่เน้นทักษะ ทฤษฎีทางศิลปะหรือความสมจริง เหมือนกับ “เด็กวาดรูป” 

โดยการวาดรูปแบบง่ายๆ จากใจ เธอได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรู้สึก จิตใจระหว่างการวาด ซึ่งเชื่อว่าหากผู้วาด วาดอย่างมีความสุข ผู้ชมงานก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงความสุขที่ทั้งใส่และสื่อลงไปในผลงานซึ่งเป็นสิ่งที่ดี 

“งานที่เด็กวาด บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาวาดรูปอะไร แต่มันสามารถสื่อด้วยความรู้สึกได้ ซึ่งบางทีมันก็ไปคาบเกี่ยวศิลปะที่เรียกว่า แอ็บสแตรกต์ ซึ่งมองว่ามันก็คือชื่อที่คนตั้งขึ้นมาเท่านั้น จริงๆ แล้วมันคืองานร่วมสมัย นำหลายๆ อย่างมาประยุกต์ใช้ให้เกิดความร่วมสมัย” 


จุดสมดุลศิลปะกับชีวิต 

แม้แต่เรื่องของการแต่งตัว เธอเองก็ต้องยึดหลักของศิลปะเช่นกัน นั่นคือ “ความสมดุล” หากมีจุดนี้แล้วก็จะเกิดความพอดี การประกอบของส่วนต่างๆ ได้อย่างลงตัว 

“อย่างเช่นว่า ถ้าวันนี้น้ำผึ้งใส่เสื้อตัวพองๆ ใหญ่ๆ ก็จะใส่ท่อนล่างให้มันลีบๆ เล็กๆ เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน แต่ถ้าสมมติว่าข้างบนก็ใส่พองๆ ข้างล่างก็ใส่พองๆ อีกคือมันตลกเลย มันไม่ใช่ ในทางกลับกันถ้าวันไหนใส่เสื้อตัวลีบๆ เล็กๆ ข้างล่างก็จะใส่แบบให้พอมีเนื้อมีหนังหน่อย ไม่ให้ลีบไปทั้งตัว ไม่งั้นก็คงเหมือน Wonder woman ไป (หัวเราะ)” 

ยังรวมไปถึงการประยุกต์ใช้เรื่องของสี เช่น วันที่อยากใส่เครื่องประดับสีสดใส จี๊ดจ๊าด ก็ควรเลือกชุดที่มีสีเรียบ แต่งหน้าแบบไม่แรงมาก เพื่อถ่วงสมดุลกันให้เหมาะสม หรือการใช้ชีวิตด้านอื่นก็ต้องเป็นสายกลาง ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป 

“แต่เรื่องความสมดุลนี่เราบอกไม่ได้ว่าของใครมันอยู่ตรงไหน ก็ต้องค้นหากัน สมดุลของบางคนอาจจะดูรุนแรงกว่าสมดุลของบางคน เรียกว่าเป็นความสมดุลเฉพาะตัว และจะไปตัดสินใครไม่ได้ด้วย” 


ลีลาบนจอแก้ว 

จากการได้ทำงานอยู่ในวงการศิลปะหลากหลายแขนง ดาราสาวยังคงย้ำว่า “การแสดง” คือศิลปะที่เธอชื่นชอบที่สุด ไม่ใช่เพราะเธอสามารถแสดงได้ดีที่สุด แต่เป็นเพราะความตั้งใจ ความพยายามทุกอย่างที่อยากให้ทุกผลงานออกมาดีที่สุด ซึ่งงานละครหลังๆ ก็ยอมรับว่ายากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็อาจเหนือจินตนาการของมนุษย์ปกติ 

“การแสดงแบบนี้คือต้องทำการบ้านมาเยอะ มันไม่ได้ได้มาง่ายๆ เวลาแสดงก็ต้องมีสมาธิ ไม่ใช่เล่นขอไปที แต่เล่นแบบเต็มที่สุดๆ เป็นสิ่งที่ทำแล้วทำให้รู้สึกดี พอใจกับตัวเอง แต่ก็ทำตามที่ใจเราอยากทำ 100% ไม่ได้เนื่องจากมีความเป็นธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง” 


สร้างสรรค์นอกจอ 

สำหรับโลกนอกจอ ดาราสาวเจ้าบทบาทบอกว่า เธอยังมีสิ่งที่รักที่จะทำอีก โดยไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยทางด้านธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง คืองานศิลปะการวาด การประดิดประดอยสิ่งต่างๆ ตามที่ใจของเธออยากจะทำ 

“นอกจากการวาดรูปแล้ว น้ำผึ้งเรียนรู้ตัวเองว่าเป็นคนชอบประดิษฐ์ ชอบค้นคว้า ซื้ออะไรมาก็จะแกะออกมาดู ว่าทำยังไง ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ มาจับแยกชิ้นส่วนดู อะไรที่ทำเองได้ เราก็หาวัสดุอื่นมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างนั้น การได้เล่นกับจินตนาการแล้วทำให้มันเกิดขึ้นมาเป็นรูปธรรมเป็นอะไรที่มันสนุกมากในความคิดของน้ำผึ้งนะคะ” 

แต่ด้วยคิวละครแน่นเอี้ยด รวมทั้งการรับงานเป็นพิธีกรเกี่ยวกับงานศิลปะหรือวาดเพื่อนำไปประมูลตามงานต่างๆ หรือสร้างแรงบันดาลใจทางศิลปะแก่ผู้อื่น ทำให้วันนี้เธอไม่ค่อยมีเวลาให้กับโลกใบเล็กนี้เท่าใดนัก ไม่ค่อยได้ทำงานอาร์ตสนองตัวเองแบบเต็มๆ แต่ก็บอกว่า “ยังต่อติดและไม่คิดทิ้งศิลปะแน่นอน” 

ยังบอกต่อว่า ตนเองเป็นคนที่ชอบเรียนรู้งานหลากหลาย แต่หากทำหลายๆ อย่างพร้อมกันไป อาจทำให้ไม่ได้งานที่เต็มที่หรือดีที่สุดสักอย่าง และได้รู้ว่าหากจะทำงานอะไรให้ได้ดี ต้องทำทีละอย่างหรือน้อยอย่างลง แต่สามารถทุ่มเทได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหากว่างจากงานละครแล้วเธอจะกลับไปทำงานศิลปะที่เธอรักเหมือนเดิม รวมทั้งกลับไปโรงเรียนศิลปะเล็กๆ ของเธอด้วย 


อิสระของการขีดเขียน 

นอกเหนือจากตัวเธอแล้ว ที่บ้านของเธอเองยังเปิดเป็นโรงเรียนเล็กๆ เพื่อสอนศิลปะให้แก่เด็กๆ ในชื่อว่า เดอะ ฟรีด้อม อาร์ต ในย่านลาดพร้าว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างโลกจินตนาการของเยาวชน 

“คือน้ำผึ้งจะไม่ขอเรียกว่าสอนนะคะ แต่จะเรียกว่าเป็นการให้แรงบันดาลใจหรือแนะนำมากกว่า ซึ่งช่วงนี้ก็ไม่สามารถจะอยู่ติดบ้านเหมือนที่เคยทำได้แล้ว แต่ถ้างานไม่ยุ่งแล้วก็จะกลับไปทำตรงนั้นต่อเหมือนเดิม” 

หนึ่งคำที่สาวน้ำผึ้งย้ำหนักหนาคือคำว่า “ครูสอน” เธอมองว่าเธอไม่ใช่ครู แต่สามารถให้แรงบันดาลใจได้ และเรื่องของศิลปะสอนกันไม่ได้ในรสนิยม บังคับให้คิดตามกันไม่ได้ เพราะแต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองอยู่แล้ว 

สิ่งที่ทำได้คือการแนะนำให้ใช้เครื่องมือต่างๆ ในการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะ รวมทั้งการฝึกให้จินตนาการ ทฤษฎีศิลปะเบื้องต้นต่างๆ อย่างการใช้สีสื่ออารมณ์ ที่จะสามารถทำให้คนที่ไม่เคยทำงานศิลปะสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็สามารถนำศิลปะเบื้องต้นนี้ไปต่อยอดได้อีก 

“คือจริงๆ เหมือนว่าเรากำลังสอนเด็ก แต่แท้ที่จริงก็เด็กกำลังสอนเราอยู่ เป็นการแชร์กันแบบเวลาเราเห็นเด็กวาดรูป ก็จะเห็นเขาวาดด้วยจิตใจปลอดโปร่ง ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข ในขณะที่บางทีรู้สึกว่าทำไมเวลาเราวาดมันช่างมีขยะเยอะ มีข้อจำกัดเยอะเกินไป ก็จะยึดตรงนี้มาทำงานตัวเองด้วย คือวาดแบบเด็กๆ ไม่ต้องคิดอะไร แต่ก็ให้มีความประณีตในแบบของเราด้วย” 


สิ่งดีๆ ที่ไม่ควรมองข้าม 

คุณน้ำผึ้งยังมองว่า ศิลปะนอกจากจะให้เรื่องความสงบ ผ่อนคลายแล้ว สมาธิคือสิ่งสำคัญที่ได้รับ และการมีสมาธิยังส่งผลดีต่อด้านอื่นๆ ในชีวิต หากตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้วมีสมาธิก็จะสามารถอยู่กับงานนั้นได้นาน ผลงานจะเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างดีและง่ายขึ้น 

“น้ำผึ้งเชื่อว่าศิลปะมีส่วนในการพัฒนาสังคมอย่างยิ่ง เพราะศิลปะสอนให้เราหยุดและคิด ทุกครั้งที่วาดรูปเราก็จะนิ่ง คือเย็นขึ้นอีกนิด ช้าลงอีกหน่อย คิดให้ละเอียดขึ้นอีกนิด อย่างน้อยก็สอนให้เรารู้จักที่จะสงบ คงไม่มีใครหรอกที่พูดๆๆ แล้ววาดไปได้อย่างประณีต คือจะทำงานให้สวยได้จะต้องมีสมาธิ” 

กล่าวคือศิลปะสามารถพัฒนาบุคคลทั้งทางความคิด ทั้งด้านจิตใจที่ขัดเกลาให้นิ่มนวล อ่อนโยนขึ้นและสร้างสังคมให้สวยงามขึ้นได้ 


ค้นหาตัวเองให้เจอ 

สุดท้ายเธอขอฝากไว้ถึงใครหลายคนที่อาจมองหาแรงบันดาลใจทางศิลปะอยู่ว่า ควรที่จะศึกษางานศิลปะของบุคคลต่างๆ เพื่อนำมาเป็นข้อมูล ความรู้ 

“น้ำผึ้งจะไม่เชื่อเรื่อง ไอดอล ค่ะ มันคือการพยายามที่จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเราอยู่ตลอดเวลา การพยายามวาดรูปให้เหมือนศิลปินระดับโลกหรือใครสักคน วาดตามสไตล์นั้นโดยที่ตัวเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ในชีวิตนี้ยังไงก็ไม่มีทางเป็นเขาได้ แค่ศึกษาแนวทางก็พอ อย่างแนวนี้ทำให้เกิดอารมณ์อย่างนี้ แล้วนำมาประยุกต์ให้เป็นตัวเราให้อยู่ในสมัยเรา ยุคเราก็จะเกิดคำว่าร่วมสมัย และเกิดความเป็นปัจเจกเอกลักษณ์ของเราขึ้นมา ซึ่งน้ำผึ้งเชื่อว่างานออริจินอลคืองานที่มีคุณค่า” 

พร้อมกับให้กำลังใจว่า ไม่ว่าผลงานที่ได้ออกจะเป็นอย่างไร แตกต่างขนาดไหนก็ขอให้ภูมิใจว่า งานทุกชิ้นเป็นผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก มีคุณค่าเสมอและจงนับถือตัวเองด้วย 

“เรียนรู้ หาหนทางตัวเอง และอย่าพยายามเป็นใคร ใช้ประสบการณ์ของศิลปินอื่นเป็นเครื่องมือในการค้นพบตัวเอง

 

 

 

โดย : ASTV ผู้จัดการรายวัน

ที่มา : ASTVผู้จัดการรายวัน / 19 กุมภาพันธ์ 2553

Views: 2906

Reply to This

© 2009-2024   PORTFOLIOS*NET by CreativeMOVE.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service